สาระน่ารู้


สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มิถุนายน 2568


วันนี้ 24 มิถุนายน  2568 เวลา 10.00 น.  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
 

กฎหมาย

 

 

1.       เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)]
2.       เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
 

สังคม – เศรษฐกิจ

 

3.       เรื่อง     ขอเสนอ (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570)
4.       เรื่อง     การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568
5.       เรื่อง     การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
6.       เรื่อง     แจ้งผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน [กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี)]
7.       เรื่อง     ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568  (ค.ศ. 2025)
8.       เรื่อง     รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการ     ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9.       เรื่อง     การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์เพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2568 
10.      เรื่อง     การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
11.      เรื่อง     สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
12.      เรื่อง     สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568
13.      เรื่อง     การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล
14.      เรื่อง     รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
15.      เรื่อง     ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
 

ต่างประเทศ

 

16.      เรื่อง     การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14
17.      เรื่อง     ผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท  สมัยที่ 5

แต่งตั้ง

 

18.      เรื่อง     การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
19.      เรื่อง     การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กระทรวงอุตสาหกรรม)
20.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
21.      เรื่อง     แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (กระทรวงพาณิชย์)
22.      เรื่อง     การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 (สำนักนายกรัฐมนตรี)
23.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  184/2568   เรื่อง  แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
 
 

กฎหมาย

 

1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)]
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
                   1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)]
                   2. มอบหมายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของ SMEs รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้และนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่ กค. เป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. กระทรวงการคลังได้เคยออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 725) พ.ศ. 2564 ซึ่งได้สิ้นสุด การบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) ได้ขอให้กรมสรรพากรพิจารณานำมาตรการภาษีดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้ง และต่อมากระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรได้พิจารณาแล้วเห็นควรปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของ SMEs เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและการบริหารจัดการธุรกิจได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการใช้สิทธิประโยชน์ ทางภาษีได้อย่างครบถ้วน ตลอดจนเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่จะต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยให้หักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า (ไม่เกิน 3 แสนบาท) สำหรับค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Hardware and Smart Device) หรือบริการด้านดิจิทัล (Digital Service) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไม่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด (มาตรการภาษีเดิมกำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) เท่านั้นและกำหนดวงเงินค่าซื้อสินค้าหรือคิดเป็นค่าบริการสูงสุด จำนวน 1 แสนบาท)
                   ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีรายละเอียดสาระสำคัญ ดังนี้
 

ประเด็น

รายละเอียด

1. กำหนดคำนิยามที่สำคัญ

• “โปรแกรมคอมพิวเตอร์” หมายความว่า โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจด้านต่าง ๆ เช่น โปรแกรมที่ใช้ในองค์กร โปรแกรมสมองกลฝังตัว โปรแกรมด้านการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมและหรือเชื่อมโยงอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมและหรือเชื่อมโยงอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
• “ฮาร์ดแวร์” หมายความว่า คอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ตลอดจนอุปกรณ์อินพุต และเอาต์พุตอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมด เช่นจอภาพ ดิสก์ คอนโซล เทป เครื่องพิมพ์ พล็อตเตอร์ ดิจิไทเซอร์ สแกนเนอร์
• “อุปกรณ์อัจฉริยะ” หมายความว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่โดยทั่วไปจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ หรือเครือข่ายอื่น ๆ ผ่านโปรโตคอลไร้สายที่แตกต่างกัน ซึ่งทำงานได้แบบโต้ตอบและแบบอัตโนมัติ เช่น Bluetooth WI-FI เครือข่าย สื่อสารไร้สาย 5G
• “บริการด้านดิจิทัล” หมายความว่า บริการซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะของแพลตฟอร์ม โดยทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มกลางระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ให้บริการ และผู้ขายหรือเจ้าของกิจการ โดยมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกลางในการจัดการกระบวนการบนดิจิทัลทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอาจเป็นผู้ให้บริการกลางที่เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มหรือเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่เป็นเจ้าของกิจการเองด้วย

2. ผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

• บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

• ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่าย (ให้หัก ค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า) แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือบริการด้านดิจิทัล ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไม่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ (เดิมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 725) พ.ศ. 2564 (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล) ซึ่งได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 กำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น และกำหนดวงเงินค่าซื้อสินค้าหรือคิดเป็นค่าบริการสูงสุด จำนวน 1 แสนบาท)
• บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังกล่าวต้องไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์อัจฉริยะ หรือบริการด้านดิจิทัลตามพระราชกฤษฎีกาอื่น ที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร และต้องไม่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

4. ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์

• ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570

                   2. กระทรวงการคลังได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐฯ แล้ว โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิตามมาตรการนี้ประมาณ 600 ราย จะทำให้สูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลปีละประมาณ 8 ล้านบาท รวม 3 ปี ประมาณ 24 ล้านบาท แต่มาตรการภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานและการบริหารจัดการธุรกิจ อันจะทำให้ธุรกิจของ SMES มีศักยภาพในการดำเนินกิจการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ตลอดจนช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยมีการพัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพและเติบโตเพิ่มมากขึ้น
                   ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นด้วย/ไม่ขัดข้องต่อหลักการของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
 
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์
ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ
จุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถบัส รถบรรทุก รถเทรลเลอร์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3044-2563 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5780   (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ เฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับที่ 4 ลงวันที่ 20 เมษายน 2563 โดยแก้ไข การบังคับมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศเทียบเท่าระดับ EURO 5 ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง เฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ระดับที่ 4 มาตรฐานเลขที่ มอก. 3043-2563 เป็นการบังคับมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศเทียบเท่าระดับ EURO 6 ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ เฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับที่ 4 มาตรฐานเลขที่ มอก. 3044-2563 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (21 กุมภาพันธ์ 2566) เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง" และควบคุมการระบายมลพิษจากแห่งกำเนิด โดยใช้กลไกของกฎหมายในการกำกับดูแล เพื่อยกระดับมาตรฐานมลพิษทางอากาศที่เกิดจากยานยนต์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล (EURO 6) และเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นรวมทั้งเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในด้านสุขภาพการได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
 

สังคม – เศรษฐกิจ

 

3. เรื่อง ขอเสนอ (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) ระยะที่ 2   (พ.ศ. 2566 – 2570)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) [ร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570)] รวมทั้งเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เสนอ            
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. แผนสุขภาพจิตแห่งชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) เป็นแผนระยะยาว 20 ปี จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนเป็นระยะทุก 5 ปี เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดรับกับสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผ่านมากรมสุขภาพจิตได้จัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 - 2580) (แผนพัฒนา  สุขภาพจิตฯ) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 - 2565) แต่ปัจจุบันสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงานแล้ว กรมสุขภาพจิตจึงได้จัดทำ   (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) มาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
                   2. ร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 -2570) มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและจิตเวชให้มีประสิทธิภาพประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ เช่นเดียวกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2565) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอด    ช่วงชีวิต ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ 3 ขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต      แต่มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานในบางประเด็น เช่น ปรับกลุ่มเป้าหมายจาก คนไทย เป็น คนทุกช่วงวัย เพื่อให้ครอบคลุมประชากรทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย และปรับเพิ่มกลยุทธ์ในแต่ละยุทธศาสตร์ (เดิมในแผน      ระยะที่ 1 ไม่ได้มีการกำหนดกลยุทธ์) เพื่อให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สรุปได้ ดังนี้

แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580)

ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2565)

ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) (ที่เสนอในครั้งนี้)

ประเด็นยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต ประกอบด้วย 2 เป้าประสงค์

เป้าประสงค์ที่ 1.1 คนไทยเข้าใจและใส่ใจสุขภาพจิต ของตนเอง ครอบครัวและชุมชน (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)
 
 
 
 
 
 
เป้าประสงค์ที่ 1.2 ภาคีเครือข่ายเสริมสร้างการมี                  ส่วนร่วมให้คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดี และมีความสุข                   (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)

เป้าประสงค์ที่ 1.1 คนทุกช่วงวัยเข้าใจและใส่ใจสุขภาพจิตของคนเอง ครอบครัว และชุมชนผ่าน               ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ เช่น เสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพจิต (Mental Health Literacy) ในแต่ละช่วงชีวิต รวมถึงความรอบรู้สำคัญที่เกี่ยวข้อง
เป้าประสงค์ที่ 1.2 หน่วยงานภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมบูรณาการเพื่อใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ประกอบด้วย             2 กลยุทธ์ เช่น พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย

ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ประกอบด้วย 2 เป้าประสงค์

เป้าประสงค์ที่ 2.1 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชเข้าถึงบริการมาตรฐานตั้งแต่เริ่มป่วย (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)
 
 
 
 
 
เป้าประสงค์ที่ 2.2 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชได้รับบริการตามมาตรฐานจนหายทุเลา สามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)

เป้าประสงค์ที่ 2.1 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งครอบครัว เข้าถึงระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ เช่น พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชบนฐานของระบบเทคโนโลยีดิจิทัล
 
เป้าประสงค์ที่ 2.2 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตรวมทั้งครอบครัวได้รับการดูแลอย่างยั่งยืน และสามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข ประกอบด้วย 1 กลยุทธ์ ได้แก่ ยกระดับมาตรฐานระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย สังคม และสวัสดิการ ประกอบด้วย 1 เป้าประสงค์

เป้าประสงค์ที่ 3.1 ผู้ป่วยจิตเวชได้รับการคุ้มครองสิทธิส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ได้รับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)

เป้าประสงค์ที่ 3.1 คนทุกช่วงวัยได้รับการคุ้มครองสิทธิ ส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ได้รับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม ประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ เช่น ผลักดันสวัสดิการระดับชุมชนและสังคมเพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพจิต

ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต ประกอบด้วย 2 เป้าประสงค์

เป้าประสงค์ที่ 4.1 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิตที่มีการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพและ                    ธรรมาภิบาล (ไม่มีการระบุกลยุทธ์)
 
 
เป้าประสงค์ 4.2 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิต                  มีการพัฒนาองค์ความรู้และวิชาการ (ไม่มีการระบุ                 กลยุทธ์)

เป้าประสงค์ที่ 4.1 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิต มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างยังยืนและสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาลประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ เช่น พัฒนาศักยภาพและสมรรถนะของบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้มีความเชี่ยวชาญ
เป้าประสงค์ที่ 4.2 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิต มีการพัฒนานวัตกรรมและใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้ทางวิชาการในการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต โดยอาศัยหลักฐานประจักษ์ ประกอบด้วย 1 กลยุทธ์ ได้แก่ พัฒนาด้านวิชาการ นวัตกรรม งานวิจัยที่ตอบโจทย์กับความเปลี่ยนแปลงและการดำเนินงานสุขภาพจิต

 
          ทั้งนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ด้วยแล้ว
 
4.  เรื่อง การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) (โครงการฯ) (ตามข้อ 2) และอนุมัติวงเงินรวมไม่เกิน 750 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ กค. ดำเนินโครงการฯ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการฯ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มียอดอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 2,980 ราย (แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม 2,772 ราย และผู้ประกอบการรายใหม่ 208 ราย) วงเงินรวม 17,017 ล้านบาท (กรอบวงเงินโครงการฯ 25,000 ล้านบาท) โดยมีสินเชื่อคงค้าง จำนวน 2,568 ราย วงเงินรวม 10,261 ล้านบาท และไม่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้   (Non - Performing Loans : NPLs)
                   2. โครงการฯ จะสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งหากไม่ได้รับการเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องชำระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และหากไม่สามารถชำระ คืนเงินกู้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระดอกเบี้ยในอัตราปกติของธนาคาร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมตามโครงการฯ ที่กำหนดไว้อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี (โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะเป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ให้สินเชื่อ) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ เกิดความมั่นใจในการประกอบกิจการ และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง กค. จึงมีความจำเป็นต้องขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (20 ธันวาคม 2565 และ 14 มีนาคม 2566) เพื่อขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

รายละเอียด

1. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ
 

เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคล สัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกิจการการผลิต การให้บริการ ค้าส่ง และค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสถานประกอบการอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ปัตตานีนราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา จะนะ นาทวี และสะบ้าย้อย) โดยอาจเป็นผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมหรือผู้ประกอบการรายใหม่ และรวมถึงการรับซื้อหรือรับโอนกิจการเพื่อดำเนินธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว

2. วัตถุประสงค์

เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยของยอดสินเชื่อคงค้างและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการฟื้นฟูกิจการในรูปของการกู้ยืมเงินประเภทวงเงินหมุนเวียนแบบมีกำหนดระยะเวลาเป็นลำดับแรก และสามารถให้เป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนขยายกิจการได้ เช่น ขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร
เป็นต้น

3. วงเงินโครงการฯ

วงเงินรวมทั้งโครงการฯ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
3.1) วงเงิน 12,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ
3.2) วงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ มาก่อน
ทั้งนี้ ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้ความสำคัญกับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อมาก่อนเป็นลำดับแรก โดยธนาคารออมสินสามารถบริหารจัดการวงเงินโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม

4. วงเงินกู้ต่อรายและระยะเวลาชำระเงินกู้

4.1) ผู้ประกอบการที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และไม่เกินวงเงินที่เคยได้รับ
4.2) ผู้ประกอบการรายใหม่ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน20 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องชำระคืนเงินกู้ให้คงเหลือไม่เกิน
10 ล้านบาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2570 หลังจากนั้นต้องชำระเงินกู้ส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570 โดยให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับผู้ประกอบการ จัดทำแผนการชำระหนี้และกำหนดหลักเกณฑ์การชำระคืนสินเชื่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระคืนสินเชื่อให้แล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่กำหนดภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570

5. วิธีการให้ความช่วยเหลือ

5.1) ธนาคารออมสินจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ โดยการให้กู้ยืมเงิน ผ่านสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน
เฉพาะกิจ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
5.2) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการเพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ

6. อัตราดอกเบี้ย

6.1) ธนาคารออมสินคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี
6.2) สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 1.99 ต่อปี

7. จำนวนเงินและอายุ
ของตั๋วสัญญาใช้เงิน

ธนาคารออมสินจะให้กู้ยืมเงินผ่านสถาบันการเงินในอัตราเต็มตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบการหรือตามรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทและไม่มีเศษของหลักพัน โดย (1) กรณีเป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการการผลิตไม่เกิน360 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และกิจการอื่น ๆ ไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ (2) กรณีเป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) ไม่เกิน
2 ปี 6 เดือน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน

8. ระยะเวลาโครงการฯ

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2570 (2 ปี 6 เดือน) โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน

9. การชดเชยจากรัฐบาล

รัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 750 ล้านบาท (คิดจากวงเงิน
15,000 ล้านบาท x ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 2.5 ปี) โดยให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริงและทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป

10. เงื่อนไขอื่น ๆ ของธนาคารออมสิน

10.1) ขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA)
10.2) ขอนำผลการดำเนินงานของโครงการฯ นับรวมเป็นผลงานของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามภารกิจเชิงสังคมรวมถึงนำผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ มาปรับผลงานของตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ ค่าใช้จ่าย และการบริหารคุณภาพหนี้ สำหรับการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงของธนาคารออมสิน
10.3) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการในการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำข้อมูลรายละเอียดและวัตถุประสงค์การใช้วงเงิน สินเชื่อของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารออมสินกำหนด เพื่อประกอบการเบิกจ่ายสินเชื่อกับธนาคารออมสิน
10.4) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการฯ เพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้และสามารถกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม
10.5) สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อและสุ่มสอบทานสินเชื่อรายลูกหนี้ในโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ พร้อมทั้งจัดทำรายงานสรุปผลการสอบทานดังกล่าวเป็นการเฉพาะแยกจากธุรกรรมสินเชื่อประเภทอื่น ๆ เป็นประจำ ทุกไตรมาส และรวบรวมรายงานดังกล่าวไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการสอบทานสินเชื่อสำหรับการเข้าตรวจสอบสถาบันการเงินประจำปีของ ธปท.
10.6) สำหรับหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ อื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 และวันที่ 14 มีนาคม 2566

                   3. กค. โดยธนาคารออมสินได้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการเสนอเรื่อง ต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กค. แจ้งว่า ณ สิ้นวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ภาระที่รัฐต้องรับชดเชย ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมียอดคงค้างจำนวน 1,077,913 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการอนุมัติโครงการฯ จำนวน 750 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว จะส่งผลให้ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,088,115 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 29 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้และเพื่อให้เป็นไป ตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินโครงการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อไป
 
5. เรื่อง การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้
                   1. แนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทน ด้วยมาตรการทางภาษี และมอบหมายให้ พน. โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกระทรวงการคลัง (กค.) ร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป
                   2. มอบหมายให้ พน. (พพ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการและติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าว เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์โดยเร็วต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608   (ค.ศ. 2065) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) พน. (พพ.) ซึ่งมีพันธกิจในการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี และได้มีการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีในหลักการเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสรรพากรสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.) ด้วยแล้ว
                   2. แนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีที่เสนอในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี และ 2) การส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
                             2.1 มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี

ประเด็น

รายละเอียด

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้บริโภคสนใจลงทุนในอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

กลุ่มเป้าหมาย

2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
- ประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481
และที่แก้ไขเพิ่มเติม1
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

หักค่าใช้จ่าย/รายจ่ายในการซื้อหรือการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ จำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง

เงื่อนไขการดำเนินการ

- ใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์
ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ต้องได้รับการรับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงหรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว
จาก พน.
- ทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักร ต้องมีลักษณะ เช่น
(1) อยู่ในราชอาณาจักรและไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
(2) ได้มาและพร้อมใช้งานตามวัตถุประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2571
(3) ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น (4) ไม่เป็นทรัพย์สินที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
- ต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ของกรมสรรพากร

ระยะเวลามาตรการ

ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571

ประมาณการผลประโยชน์
ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริม

- กระตุ้นเศรษฐกิจรวม 254,063.22 ล้านบาท
- ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี
- ลดการนำเข้า Spot LNG" เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

                             2.2 มาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี

ประเด็น

รายละเอียด

วัตถุประสงค์

กระตุ้นให้ประชาชนลงทุนติดตั้ง Solar rooftop เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนและลดภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือน

เป้าหมายของมาตรการ

ส่งเสริมการติดตั้ง Solar rooftop ในภาคครัวเรือนทั่วประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน

กลุ่มเป้าหมาย

ประชาชนกลุ่มบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้ง Solar rooftop

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

สามารถนำเงินลงทุนในการติดตั้งระบบ Solar rooftop มาหักลดหย่อนภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดา ในวงเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท
(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

เงื่อนไขการดำเนินการ

- เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (เฉพาะบ้านอยู่อาศัย)
- เป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 (1) - (8)
แห่งประมวลรัษฎากร ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ชื่อผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านอยู่อาศัย
- สิทธิการลดหย่อนภาษี 1 บุคคล ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ
- ระบบ Solar rooftop ที่ติดตั้งต้องเป็นระบบ On-grid และมีกำลังการผลิต
ติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) ต่อหลัง
- ต้องเป็นระบบที่มีการจัดซื้อ ติดตั้ง และยื่นขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
- มีหลักฐานใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax Invoice) ของการจัดซื้อและติดตั้งระบบ Solar rooftop และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า

ระยะเวลามาตรการ

นับถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จนถึงวันที่
31 ธันวาคม 2570

คาดการณ์ผู้ใช้สิทธิ

90,000 ราย

ประมาณการผลประโยชน์
ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริม

- กระตุ้นเศรษฐกิจรวม 20,250 ล้านบาท
- ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 585 ล้านหน่วยต่อปี
- ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 2.64 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อปี

                   ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 2 มาตรการข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการสูญเสีย รายได้ของรัฐรวมทั้งสิ้นประมาณ 27,956.35 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงานคาดว่า การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ ในภาคอุตสาหกรรมจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 254,063.22 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศประมาณ 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ในส่วนของการสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในภาคครัวเรือนจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 20,250 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ประมาณ 584 ล้านหน่วยต่อปีลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2.65 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี นอกจากนี้ ยังจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว
                   3. กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
_______________________________________________________
1มาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้เงินได้พึงประเมิน คือ เงินได้ประเภทต่อไปนี้
40 (1) ได้แก่ เงินได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง โบนัส ฯลฯ
40 (2) ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่านายหน้า ค่ารับจ้าง
40 (3) ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
40 (4) ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ
40 (5) ได้แก่ (ก) การให้เช่าทรัพย์สิน (ข) การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน (ค) การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน ซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นโดยไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว
40 (6) ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น วิชาชีพกฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี
40 (7) ได้แก่ เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ
40 (8) ได้แก่ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์หรือเงินได้จากการอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ในเงินได้ประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7 เช่น ขายสินค้าออนไลน์
 
 
6. เรื่อง แจ้งผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน [กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี)]
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.)    [กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี)] ตามที่ ผผ. เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วส่งให้ สลค. ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. ปัจจุบันมีคนต่างด้าวถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในลักษณะการค้าที่ดินจำนวนมาก โดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามกฎหมายและพบว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ผ่านนอมินีของผู้มีสัญชาติไทยในรูปแบบต่าง ๆ และดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และจังหวัด ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เช่น จังหวัดเชียงใหม่    สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตราด จันทบุรี โดยรูปแบบของนอมินีมีหลายรูปแบบ เช่น (1) มิติความสัมพันธ์ทางครอบครัว โดยคนต่างด้าวสมรสกับคนไทยและให้คนไทยถือครองหรือครอบครองที่ดินแทน (2) การจัดตั้งเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย โดยให้ผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นหรือลงทุนมากกว่ากึ่งหนึ่งของนิติบุคคลนั้น และถ่ายโอนหุ้นให้แก่คนต่างด้าวในภายหลัง หรือการถือหุ้นของบุคคลผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเท่านั้น ทั้งนี้ การค้าที่ดินของคนต่างด้าวที่ร่วมมือกับบุคคลผู้มีสัญชาติไทยในการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ถือเป็นการกระทำต้องห้ามตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 บัญชี 1 (9) ซึ่งเป็นการกระทำที่หลีกเลี่ยงหรืออาศัยช่องว่างของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ผผ. จึงมอบหมายให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาปัญหากฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว กรณีการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สภาพปัญหา กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์และรูปแบบการปฏิบัติงาน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจของ ผผ.
                   2. สผผ. โดยคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง ศึกษาปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว ศึกษากรณีการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมที่ดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และได้ลงพื้นที่และประชุมร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ตาก สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตราด จันทบุรี เพื่อรวบรวมข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าว
                   3. จากการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดต่าง ๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกรณีปัญหาการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยนอมินี ผผ. เห็นว่า แม้ว่าจะมีบทบัญญัติในกฎหมายบางฉบับที่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนอมินี เช่น พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน มีความล้าสมัยและขาดความชัดเจนทั้งการบังคับใช้และการตีความ รวมทั้งยังไม่มีการตรากฎหมายเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบกับขาดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน คนต่างด้าวจึงใช้ช่องว่างของกฎหมายโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพรางถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์/ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในไทยทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ดังนั้น ผผ. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 26 (3) และ (6) และมาตรา 32 ประกอบมาตรา 33 และ 39 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ออกคำวินิจฉัยและข้อเสนอแน่ะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
                             3.1 ในระยะเร่งด่วนให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกัน ปราบปราม และตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีคนต่างด้าวถือหุ้น เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้เกิดผลอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม
                             3.2 ให้กรมที่ดินกำชับและแจ้งเวียนแนวทางปฏิบัติตามคู่มือ แนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท 0515.2/ว 6346 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ให้เข้าใจและตระหนักรู้ ไม่เป็นผู้ถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว หรือหากพบเห็นการกระทำผิดจะต้องแจ้งเบาะแสต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
                             3.3 ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพัฒนาระบบ AI มาช่วยในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่เข้าข่ายเป็นนอมินี และส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เมื่อแล้วเสร็จให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณากำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดรับไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
                             3.4 ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กรมที่ดิน ตร. กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสรรพากร สำนักงาน ปปง. กนอ. ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยนอมินีของคนต่างด้าวทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดาและรูปแบบนิติบุคคลโดยในช่วงที่ยังไม่มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้งกลไกที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องตัวแทนอำพรางเป็นการเฉพาะ ให้คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าวกำหนดแนวทางการกำกับดูแล ป้องกันและปราบปราม และสืบสวนสอบสวนหรือตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลและนิติบุคคลที่อาจมีพฤติกรรมเป็นนอมินีเพื่อเป็นกลไกประสานงานไปพลางก่อน
                             3.5 ให้ ตร. และกรมสอบสวนคดีพิเศษเฝ้าระวัง ติดตาม และบังคับใช้กฎหมาย   อย่างเข้มงวดและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและผู้เกี่ยวข้องต่อไป
                             3.6 ให้กรมป่าไม้กำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบนอมินีสำหรับผู้ยื่น  ขออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 16 และมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ความร่วมมือในการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป
                             3.7 ให้ มท. พิจารณาสั่งการให้ทุกจังหวัดใช้มาตรการเชิงบริหารเชิงรุกและตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ทั้งในรูปแบบนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ในพื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และพื้นที่การเกษตรให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งติดตามประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าทุกระยะต่อไปและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยนอมินี โดยแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด/รองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีกรรมการจากตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ ตัวแทนภาคประชาชน สังคม และสมาคม เป็นกลไก
                             3.8 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการ ดังนี้
                                      (1) ส่งเสริมขีดความสามารถของคนไทยในการทำธุรกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันกับชาวต่างชาติและสามารถส่งออกผลผลิตไปยังต่างประเทศได้
                                      (2) สั่งการให้เกษตรจังหวัดทุกจังหวัดที่มีการทำการเกษตรทั้งนาข้าวและสวนผลไม้ ใช้มาตรการเชิงบริหารเชิงรุก ป้องกันและปราบปราม มาตรการเฝ้าระวังเขตที่ดิน เพื่อติดตามกลุ่มทุนที่เข้าข่ายใช้คนไทยที่เป็นเกษตรกรเป็นนอมินีในการประกอบธุรกิจ ด้านการเกษตรและที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และติดตามประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าในทุกระยะต่อไป
                             3.9 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามปฏิบัติการพิทักษ์สมุย ดังนี้
                                      (1) ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน. ภาค 4) ปราบปรามผู้กระทำความผิดขั้นเด็ดขาดตามปฏิบัติการพิทักษ์สมุย เพื่อทวงคืน ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติกลับมาเป็นของรัฐและขยายผลการปฏิบัติไปยังจังหวัดต่าง ๆ และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สนับสนุนการทำงานของ กอ.รมน. ภาค 4 ทั้งในด้านวิชาการ บุคลากร งบประมาณ และอื่น ๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
                                       (2) ให้กรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตร. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนับสนุนปฏิบัติการพิทักษ์สมุยในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการดำเนินคดีการสืบสวนทางลับ และการรายงานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ให้ กอ.รมน. สั่งการให้ กอ.รมน. ภาค 1-3 ขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ตามแนวทางของ กอ.รมน. ภาค 4 ตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
                                      (3) ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาให้ข้อมูลคำแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุน และให้ความรู้ความเข้าใจในการประกอบธุรกิจ ที่ไม่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบัญชีที่หนึ่ง (4) การค้าที่ดินและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
                                      (4) ให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีกำชับเทศบาลนครเกาะสมุย ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารด้วยความรอบคอบและเป็นไปตามกฎหมายและกฎกระทรวง รวมทั้งตรวจสอบและปราบปรามการประกอบกิจการสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามประกาศและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง
                                      (5) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่ดินต่อคณะทำงานของ กอ.รมน. ภาค 4 ทราบโดยเร็ว
                             3.10 ให้สภาทนายความกำหนดจริยธรรมสำหรับทนายความ โดยไม่ให้ร่วมมือกับคนไทย คนต่างด้าว หรือนิติบุคคลต่างด้าว หากมีการให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการกระทำที่เป็นลักษณะของนอมินี ให้สภาทนายความพิจารณาเป็นความผิดร้ายแรงต่อไป
                             3.11 ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และดำเนินการในด้านอื่น ๆ เช่น
                                      (1) มาตรา 4 ควรแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
                                                (1.1) แก้ไขนิยามของคำว่า “คนต่างด้าว” ดังนี้
                                                          1) ให้ครอบคลุมถึงกรณีที่คนต่างด้าวมีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการของนิติบุคคลที่คนต่างด้าวตั้งขึ้นมาโดยใช้คนไทยเป็นผู้อำพรางการทำธุรกรรม
                                                          2) ให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น ทั้งการถือหุ้นทางตรงที่ให้คนต่างด้าวถือหุ้นได้ร้อยละ 49 หรือการถือหุ้นทางอ้อมที่คนต่างด้าวสามารถถือหุ้น ผ่านตัวแทน และกฎหมายควรมีความชัดเจนว่าต้องการให้คนต่างด้าวถือหุ้นหรือไม่ หากไม่ต้องการให้ถือหุ้นทางอ้อม ควรเพิ่มเติมคุณสมบัติของผู้ถือหุ้นอีกร้อยละ 51 ที่เหลือให้ชัดเจน
                                                (1.2) แก้ไขนิยามของคำว่า “ตัวแทนอำพราง” และ “ธุรกรรมอำพราง” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการทำนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ กับผู้อื่น ทางการเงิน ทางธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ หรือสิทธิในทรัพย์สินนั้นแทนคนต่างด้าว โดยปกปิดชื่อเจ้าของที่แท้จริงซึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือกระทำการภายใต้การบริหารงาน การควบคุมหรือครอบงำของคนต่างด้าว ให้ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง
                                                (1.3) แก้ไขคำนิยาม กำหนดการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง เช่น การซื้อขาย เช่า ให้เช่า โอน รับโอน หรือครอบครองทรัพย์สินโดยเจตนาเป็นตัวแทนอำพราง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางสิทธิที่แท้จริงจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ แทนคนต่างด้าว รวมทั้งการสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวโดยเป็นตัวแทนอำพราง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
                                                (1.4) กำหนดให้หุ้นบุริมสิทธิที่ให้สิทธิหุ้นคนต่างด้าวมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ ทำให้คนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการหรือครอบงำนิติบุคคล ให้ถือว่าเป็นนิติบุคคลต่างด้าว
                                                (1.5) แก้ไขนิยามของคำว่า “ทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัด” ให้มีความชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวกับทุนเรือนหุ้นและการแสดงทุนจดทะเบียนของบริษัทจำกัด ไม่ได้มีการบัญญัติให้ผู้ขอจดทะเบียนต้องแสดงหลักฐานว่าได้มีการเรียกและชำระเงินค่าหุ้นของบริษัทจำกัดนั้นจริงตามที่ได้แสดงไว้ในคำขอจดทะเบียน โดยมีหนังสือรับรองบัญชีเงินฝากของธนาคารที่รับฝากเงินค่าหุ้นของบริษัทจำกัดนั้น ๆ แต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่า บริษัทมีเงินทุนที่แท้จริงเท่ากับเงินทุนที่ได้จดไว้ต่อนายทะเบียน ได้กำหนดให้ผู้ขอจดทะเบียนแสดงหลักฐานการรับชำระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น เช่น ใบสำคัญรับชำระเงินค่าหุ้น ดังนั้น กฎหมายในปัจจุบันจึงยังมีข้อบกพร่องหรือช่องโหว่ที่ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเหมาะสม รัดกุม และชัดเจน จึงควรมีการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด
                                      (2) แก้ไขมาตรา 36 และ 37 โดยเพิ่มอัตราโทษจำคุกและโทษปรับให้สูงขึ้น
                                      (3) กำหนดความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว       พ.ศ. 2542 เป็นความผิดมูลฐานและเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อนำไปสู่การยึดทรัพย์ และให้เพิ่มมาตรการ ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดไว้ชั่วคราวเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน ที่ได้จากการประกอบธุรกิจโดยการตั้งตัวแทนอำพรางหรือการหลบหนีการบังคับคดีของศาล
                                      (4) ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามการตั้งตัวแทนอำพราง และเพิ่มอำนาจให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีอำนาจตรวจสอบและจับกุม เมื่อพบการกระทำความผิดในการตั้งตัวแทนอำพราง
                                      (5) ให้เพิ่มมาตรการกรณีผิดเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการกระทำผิดฐานนอมินี เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เด็ดขาดตามหลักความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย
                             3.12 ให้กรมที่ดินพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนี้
                                      (1) เพิ่มโทษจำคุกและโทษปรับแก่คนต่างด้าวที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
                                      (2) กรณีคนต่างด้าวที่ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สมควรจะได้รับเงินคืนจากการจำหน่ายที่ดินตามมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและควรที่จะยึดที่ดินดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน
                             3.13 เห็นควรให้นายกรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำธุรกรรมอำพรางแทนคนต่างด้าว เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการติดตามตรวจสอบ ศึกษา และประมวลผลการกระทำที่เข้าข่ายธุรกรรมอำพราง โดยควรมีสาระสำคัญครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
                             (1) แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการทำธุรกรรมลักษณะตัวแทนอำพราง (คณะกรรมการฯ) ระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อให้มีบทบาทและหน้าที่เสนอมาตรการป้องกันการทำธุรกรรมที่มีลักษณะตัวแทนอำพราง และกำหนดองค์ความรู้และประสานข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ และให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัดในทุกจังหวัดรวมทั้ง กทม. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นประธาน
                             (2) กำหนดให้มีหน่วยงานหลักเพื่อบูรณาการข้อมูลและประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานและสนับสนุนงานธุรการของคณะกรรมการฯ โดยจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอในการติดตาม ตรวจสอบ ศึกษาวิจัย และประมวลผลการกระทำในรูปแบบต่าง ๆ ที่เข้าข่ายการทำธุรกรรมอำพราง และมอบหน้าที่และอำนาจให้แก่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นตัวแทนอำพรางหรือธุรกรรม    อำพราง และยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมสัญญาที่ได้กระทำก่อนที่จะมีกฎหมายบังคับใช้ได้
                             (3) กำหนดนิยามของคำว่า “ตัวแทนอำพราง” และ “ธุรกรรมอำพราง” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ กับผู้อื่น ทั้งทางการเงิน ทางธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ หรือสิทธิในทรัพย์สินนั้นแทนคน ต่างด้าว โดยปกปิดชื่อเจ้าของที่แท้จริงซึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือกระทำการภายใต้การบริหารงาน การควบคุมหรือครอบงำของคนต่างด้าว ให้ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง
                             (4) กำหนดการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง เช่น การซื้อขาย เช่า ให้เช่า โอน รับโอน หรือครอบครองทรัพย์สินโดยเจตนาเป็นตัวแทนอำพราง หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางสิทธิที่แท้จริงจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ แทนคนต่างด้าว ซึ่งรวมถึงการให้การสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวโดยเป็นตัวแทนอำพราง
                   3.14 เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีจัดทำกฎหมายเฉพาะในระดับพระราชบัญญัติเพื่อใช้บังคับในการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยนอมินี โดยควรมีสาระสำคัญครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
                             (1) กำหนดหลักการให้มีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด ลักษณะตัวแทนอำพรางเพื่อใช้เป็นกฎหมายเฉพาะในความผิดฐานตัวแทนอำพราง
                             (2) บัญญัตินิยามของคำว่า “ตัวแทนอำพราง” และ “ธุรกรรมอำพราง” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ กับผู้อื่น ทั้งทางการเงิน ทางธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ หรือสิทธิในทรัพย์สินนั้นแทนคนต่างด้าว โดยปกปิดชื่อเจ้าของที่แท้จริงซึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือกระทำการภายใต้การบริหารงาน การควบคุมหรือครอบงำของคนต่างด้าว ให้ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง
                             (3) บัญญัติการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะการกระทำความผิด ฐานตัวแทนอำพราง เช่น การซื้อขาย เช่า ให้เช่า โอน รับโอน หรือครอบครองทรัพย์สินโดยเจตนาเป็นตัวแทนอำพราง หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางสิทธิที่แท้จริงจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ แทนคนต่างด้าว ซึ่งรวมถึงการให้การสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวโดยเป็นตัวแทนอำพราง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
                             (4) ควรมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารงานของกฎหมาย ดังนี้
                                      (4.1) คณะกรรมการฯ
                                                - องค์ประกอบของคณะกรรมการๆ โดยกำหนดให้ มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคล ที่มีความเชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน การคลัง กฎหมาย หรือสาขาใดสาขาหนึ่ง ที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมการทำธุรกรรมลักษณะตัวแทนอำพรางเป็นกรรมการและเลขานุการ
                                                - หน้าที่และอำนาจ เสนอนโยบายและมาตรการป้องกัน การทำธุรกรรมอันมีลักษณะตัวแทนอำพรางต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือของประชาชนเกี่ยวกับการให้ข้อมูลข่าวสารในการป้องกันการทำธุรกรรมอันมีลักษณะตัวแทนอำพราง รวมทั้งตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง
                                      (4.2) หน่วยงานสนับสนุนงานของคณะกรรมการฯ ให้จัดตั้งสำนักงานควบคุมการทำธุรกรรมลักษณะตัวแทนอำพรางขึ้น โดยเป็นส่วนราชการ ที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระและเป็นกลาง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการฯ จัดทำรายงานหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมอำพราง เก็บ รวบรวม ติดตาม ตรวจสอบ ศึกษาวิจัย ประมวลผล และวิเคราะห์รายงานและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรม    อำพราง ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง และมอบหน้าที่และอำนาจแก่หน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบนิติกรรมสัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นตัวแทนอำพรางหรือธุรกรรมอำพราง รวมทั้งสามารถยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมสัญญา ที่ได้กระทำก่อนที่จะมีกฎหมายบังคับใช้ได้
                             (5) กำหนดบทลงโทษการกระทำความผิดฐานตัวแทนอำพราง เป็นแบบขั้นบันได ตามความรุนแรงหรือเสียหายของการกระทำความผิด รวมทั้งกำหนดโทษสำหรับการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการขัดขวางการดำเนินการของเจ้าพนักงานหรือฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการฯ หรือคณะอนุกรรมการ
 
7. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอ ดังนี้
                   1. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 2,055 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) (กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 20 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสงขลา และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) (กีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 26 มกราคม 2569 ณ จังหวัดนครราชสีมาและกรุงเทพมหานคร* ดังนี้
หน่วย: ล้านบาท

ลำดับที่

รายการ

วงเงินงบประมาณ

พ.ศ. 2568

พ.ศ. 2569

รวมทั้งสิ้น

1

งบประมาณรายจ่ายประจำปี

157.000

1,343.640

1,500.640

2

เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ

400.000

-

400.000

3

ประมาณการรายได้จ่ายสิทธิประโยชน์

 

154.360

154.360

3.1 การจัดหารายได้สิทธิประโยชน์

-

20.000

20.000

3.2 ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน

 

5.000

5.000

3.3 ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์

 

115.500

115.500

3.4 ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์

 

13.860

13.860

รวมทั้งสิ้น

557.000

1,498.000

2,055.000

หมายเหตุ: ได้รับการจัดสรรแล้ว

                   2. อนุมัติหลักการให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่นที่เป็นการสนับสนุนการจัดการแข่งขันตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ) เสนอ
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (27 กันยายน 2565 และ 16 พฤษภาคม 2566) เห็นชอบการรับเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 และรับทราบจังหวัดที่เป็นเจ้าภาพการจัดงานดังกล่าว กก. โดย กกท. ได้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขันและการบริหารความเสี่ยง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นดังกล่าว  โดยมีรายละเอียดสรุป เช่น    แผนการเตรียมความพร้อมในการจัดการแข่งขัน สรุปได้ ดังนี้

ด้าน

แผนการเตรียมความพร้อม

สนามแข่งขัน

1) ตรวจสอบและปรับปรุงสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหพันธ์กีฬานานาชาติ ให้ครอบคลุมทุกประเภทกีฬา รวมทั้งตรวจสอบสนามสำหรับรองรับการแข่งขันกีฬาคนพิการที่ต้องมีการออกแบบและปรับปรุงให้เหมาะสมกับผู้พิการ เช่น การติดตั้งราวจับและทางลาดที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย การตรวจสอบความสะดวกในการขนส่งและการเข้าถึงสนามแข่งขัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและผู้ชมสามารถเดินทางได้สะดวกและปลอดภัย
2) ฝึกซ้อมและทดสอบระบบการใช้งานล่วงหน้าเพื่อให้ทุกอย่างพร้อมสำหรับการจัดการแข่งขัน
3) วางแผนด้านความปลอดภัยทั้งในและนอกสนามอย่างรัดกุม

บุคลากรจัดการแข่งขัน

1) จัดอบรมและพัฒนาให้บุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อให้สามารถจัดการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน
2) ให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทาง มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการจัดแข่งขัน
3) สนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ่ายทอดสด

1) ประสานงานช่อง T-Sport 7 เป็นช่องสัญญาณหลักในการถ่ายทอดสดการจัดการแข่งขัน กีฬาดังกล่าว
2) เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์ ทีมงาน และการบริหารจัดการสัญญาณการถ่ายทอดสด โดยให้มีการติดตั้งระบบถ่ายทอดสดที่ทันสมัย เช่น กล้องคุณภาพสูง ระบบสัญญาณดาวเทียม และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้ระบบภาพและเสียงมีความคมชัด
3) จัดเตรียมทีมงานที่มีประสบการณ์ เช่น ผู้กำกับภาพ ช่างกล้อง และผู้บรรยายการแข่งขันเพื่อให้การถ่ายทอดสดเป็นไปอย่างมืออาชีพ และมีการประสานงานกับสถานีโทรทัศน์และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ

การจัด
การแข่งขัน

1) การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 20 ธันวาคม 2568 มีจำนวนชนิดกีฬา ดังนี้
          1.1) กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จัดการแข่งขัน จำนวน 31 ชนิดกีฬา ได้แก่ กีฬาทางน้ำ (ว่ายน้ำ กระโดดน้ำ โปโลน้ำ ระบำใต้น้ำ) ยิงธนู กรีฑา แบดมินตัน เบสบอล ซอฟท์บอล บาสเกตบอล โบว์ลิ่ง มวยสากล คริกเก็ต จักรยาน (ถนน ลู่ บีเอ็มเอ็กซ์) ขี่ม้าโปโล อีสปอร์ต เอ็กซ์ตรีม (ปีนหน้าผา สกีน้ำ - เวคบอร์ด สเก็ตบอร์ด) ฟันดาบ ฟลอร์บอล ฟุตบอล ยิมนาสติก ฮอกกี้น้ำแข็ง สเก็ตน้ำแข็ง ยูยิตสู (เป็นศิลปะป้องกันตัวแบบต่อสู้กันด้วยมือเปล่า มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น) คิกบ็อกซิ่ง เน็ตบอล เปตอง รักบี้ฟุตบอล เซปักตะกร้อ ยิงปืน สควอช เทเบิลเทนนิส เทควันโด วอลเลย์บอล
          1.2) จังหวัดชลบุรี จัดการแข่งขัน จำนวน 16 ชนิดกีฬา ได้แก่ กีฬาทางน้ำ (ว่ายน้ำมาราธอน) เรือใบ - วินด์เซิร์ฟ บิลเลียดและสนุกเกอร์ เรือพาย (แคนู คายัค เรือยาวมังกร) จักรยาน (เสือภูเขา) ขี่ม้า เอ็กซ์ตรีม (เจ็ตสกี) ฟุตบอล แฮนด์บอล ฮอกกี้ ปัญจกีฬาสมัยใหม่ ยิงปืน เทคบอล ไตรกีฬา ยกน้ำหนัก วู้ดบอล (เป็นกีฬาที่ใช้ไม้ตีลูกบอลในสนามไปสู่ประตูและนับจำนวนครั้งในการตีลูกบอล โดยผู้ที่จะชนะการแข่งขันต้องตีให้จำนวนครั้งน้อยที่สุด)
          1.3) จังหวัดสงขลา จัดการแข่งขัน จำนวน 9 ชนิดกีฬา ได้แก่ หมากรุกสากล ฟุตบอล ยูโด กาบัดดี้ (เป็นกีฬาพื้นบ้านที่มักเล่นกันทั่วไปในแถบเอเชียใต้ โดยประเทศไทยจะเรียกว่า ตีจับ) คาราเต้ มวย ปันจักสีลัต มวยปล้ำ วูซู
2) การแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 26 มกราคม 2569 ณ จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 19 ชนิดกีฬา ได้แก่
          2.1) จังหวัดนครราชสีมา จัดการแข่งขัน จำนวน 18 ชนิดกีฬา ได้แก่ กรีฑา ยิงธนู แบดมินตัน ฟุตบอลคนตาบอด บอคเซีย (คล้ายกีฬาเปตอง คือ แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายพยายามโยน กลิ้ง ขว้าง เตะ หรือปล่อยลูกบอลสีแดงหรือสีน้ำเงินไปตามรางเพื่อให้ลูกเข้าไปใกล้ลูกเป้าหมายสีขาวให้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดบนพื้นสนามเรียบ โดยฝ่ายใดที่มีบอลใกล้ลูกเป้าหมายมากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ) หมากรุกสากล จักรยาน ฟุตบอล CP (ฟุตบอล 7 คน ของผู้พิการทางสมอง) โกบอล (เป็นกีฬาประเภททีมสำหรับผู้พิการทางสายตาเท่านั้น โดยนักกีฬาทุกคนจะถูกปิดตาด้วยหน้ากาก และผลัดกันกลิ้งลูกบอลที่มีกระดิ่งอยู่ภายในเมื่อเป็นฝ่ายรุกจะต้องพยายามกลิ้งบอลเพื่อให้เข้าประตูฝ่ายตรงข้ามเป็นการได้คะแนน ในขณะที่ผู้เล่นฝ่ายรับต้องพยายามป้องกันมิให้ลูกเข้าประตูอันจะเป็นการเสียแต้ม ทีมใดทำประตูได้มากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ) ยูโด ยกน้ำหนัก ว่ายน้ำ เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอลนั่ง ยิงปืน วีลแชร์บาสเกตบอล วีลแชร์ฟันดาบ และวีลแชร์เทนนิส
          2.2) กรุงเทพมหานคร จัดการแข่งขัน จำนวน 1 ชนิดกีฬา ได้แก่ โบว์ลิ่ง

                   2. เรื่องนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น 2,055 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา ดังนี้
                   (1) กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 20 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดชลบุรีและจังหวัดสงขลา
                   (2) กีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 26 มกราคม 2569 ณ จังหวัดนครราชสีมาและกรุงเทพมหานคร ซึ่ง กก. ได้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น สนามแข่งขัน บุคลากร รวมถึงแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับการจัดการแข่งขันดังกล่าวด้วยแล้ว
                   ทั้งนี้ กก. ได้ขออนุมัติหลักการให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันโดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่น ที่เป็นการสนับสนุนการจัดการแข่งขันตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 เสนอ
                   3. กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นควรรับทราบ/ไม่ขัดข้อง/เห็นชอบตามที่ กก. เสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ สงป. เห็นควรให้ใช้จ่ายจาก (1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 157.584 ล้านบาท (2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 1,343.056 ล้านบาท (3) เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 400 ล้านบาท (4) เงินรายได้จากแหล่งอื่น เช่น ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชม จำนวน 154.60 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่ยังขาดให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอเห็นควรให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับการให้จังหวัดและ อปท. มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่นที่เป็น    การสนับสนุนการจัดการแข่งขัน เห็นควรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ กำหนด โดยไม่ควรซ้ำซ้อนกับรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
__________________
* ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งล่าสุด คือ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) ณ จังหวัดนครราชสีมา (เมืองหลักในการจัดการแข่งขัน) จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร
                  
8. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้เสนอผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นชอบด้วย โดยสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
                   1) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณ ในการดำเนินงานบริหารจัดการน้ำเป็นประจำทุกปีและจัดประชุมเชิงวิชาการเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเขตลุ่มน้ำ ดำเนินการทบทวนแผนแม่บทลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาโดยนำแนวทางการบริหารจัดการทะเลสาบแบบ “ลากูน” มาใช้ประกอบการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว รวมถึงดำเนินการยกร่างแผนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็ง ให้สามารถรักษาสถานภาพและส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินงานขององค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน
                   2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทานดำเนินการถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจัดตั้งเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำแล้วในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ดำเนินการติดตามและเฝ้าระวังการบริหารจัดการน้ำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาและการระบายน้ำสู่อ่าวไทยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งยังไม่พบว่าการระบายน้ำและการส่งน้ำมีผลกระทบต่อการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง รวมถึงได้มีการจ้างศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินงานโครงการชลประทานในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา ซึ่งรวมถึงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โดยมีมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการจัดทำศึกษาร่างกฎหมายเพื่อผลักดันให้มีการยกร่างพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ พ.ศ. .... กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการประสานขอข้อมูลโครงการอาคารประกอบคลองระบายน้ำจากกรมชลประทานเพื่อสามารถติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพบว่าในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลายังไม่มีการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS) กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการติดตามผลกระทบที่เกิดจากโครงการที่ได้ก่อสร้างแล้วเพื่อทบทวนการก่อสร้างและกำหนดมาตรการต่อไปโดยประสานกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมงมีมาตรการในการดำเนินการเก็บกู้เครื่องมือประมงที่เสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งานขึ้นจากทะเลสาบ เช่น สำนักงานประมงจังหวัดสงขลาอยู่ระหว่างดำเนินการร่างแผนปฏิบัติการรื้อถอนเครื่องมือโพงพางเพื่อเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาพิจารณาเห็นชอบ รวมถึงกองตรวจการประมงได้ดำเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำอยู่เป็นประจำเพื่อเป็นการฟื้นฟูและเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำ และองค์การกำจัดน้ำเสียดำเนินการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครสงขลา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเสียไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา
 
9. เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์เพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2568 
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เพิ่มเติม และเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน ประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
                    สาระสำคัญของเรื่อง
                   เรื่องนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2568 เนื่องจาก สธค. ขาดสภาพคล่องเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชนที่ประสบปัญหาและเดือดร้อนทางการเงินเฉพาะหน้า [โดยครั้งล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (25 กุมภาพันธ์ 2568) อนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของ สธค. ประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 200 ล้านบาท เพื่อเป็นการเตรียมเงินหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน ตามที่ พม. เสนอ] ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ ในการประชุมครั้งที่ 2 ปีงบประมาณ 2568  เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบแผนการกู้เงินระยะยาวเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2568  วงเงิน 500 ล้านบาท ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568  ปรับปรุงครั้งที่ 1 ด้วยแล้ว ทั้งนี้ พม. แจ้งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบให้ พม. กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานของ สธค. และเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน ประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 500 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง
(กค.) ไม่ค้ำประกัน ตามนัยมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548  และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้กระทำด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า และความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงการกระจายภาระการชำระหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 49  แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับ กค. สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/อนุมัติ โดย สงป. มีความเห็นเพิ่มเติม ให้ สธค. บริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและพิจารณาเบิกเงินกู้เท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดภาระดอกเบี้ยต่อองค์กรในระยะยาว
 
10.เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการ จำนวน 59 รายการ (54 สินค้า 5 บริการ) เป็นสินค้าและบริการควบคุมตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
 
                    สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 24  วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม กกร. ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมได้ ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการควบคุม รวมทั้งสิ้น 59 รายการ (54 สินค้า 5 บริการ)
จำแนกเป็น 11 หมวดสินค้า 1 หมวดบริการ และต่อมา กกร. ได้ออกประกาศเรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม รวม 2 ฉบับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ประกาศ

วันที่มีผลบังคับใช้

วันสิ้นสุดผลบังคับใช้

(1) ประกาศ กกร. ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2567 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม (จำนวน 57 รายการ)

1 กรกฎาคม 2567

30 มิถุนายน 2568

(2) ประกาศ กกร. ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2568 เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม (จำนวน 2 รายการ)

8 พฤษภาคม 2568

7 พฤษภาคม 2569

                   2. เนื่องจากประกาศ กกร. ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2567 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม        ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2567 กำลังจะสิ้นสุดผลบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และประกาศ กกร. ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2568 เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ลงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568 จะสิ้นสุดผลบังคับใช้ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2569 ประกอบกับเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมในคราวต่อไป ให้ กกร. พิจารณารวบรวมรายการสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องควบคุมทั้งหมดให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถพิจารณากำหนดระยะเวลาการควบคุมสินค้าและบริการทั้งหมดให้สิ้นสุดผลบังคับใช้พร้อมกันและให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไปก่อนวันสิ้นสุดผลบังคับใช้ที่ได้กำหนดไว้ กกร. ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ)  จึงได้มีมติเห็นชอบให้คงรายการสินค้าและบริการควบคุม 59 รายการดังกล่าวต่อไป เพื่อให้ กกร. กำหนดมาตรการกำกับดูแลสินค้าและบริการให้มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง
                   รายการสินค้าและบริการควบคุม จำนวน 59 รายการ

หมวด

รายการ

สินค้า

(1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์

(1) กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว
(2) กระดาษพิมพ์และเขียน
(3) เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก

(2) เครื่องใช้ไฟฟ้า

(4) เครื่องฟอกอากาศ (๕) ตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น)

(3) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง

(6) ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ (7) รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก

(4) หมวดปัจจัยทางการเกษตร

(8) กากดีดีจีเอส (9) เครื่องสูบน้ำ (10) ปุ๋ย (11) ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช (12) รถเกี่ยวข้าว (13) รถไถนา (14) หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์

(5) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

(15) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (16) น้ำมันเชื้อเพลิง

(6) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์

(17) ยารักษาโรค (18) เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค
(19) หน้ากากอนามัย (20) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ

(7) หมวดวัสดุก่อสร้าง

(21) ท่อพีวีซี (22) ปูนซีเมนต์ (23) สายไฟฟ้า (24) เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น

(8) หมวดสินค้าเกษตรที่สำคัญ

(25) ข้าวเปลือก ข้าวสาร (26) ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ (27) ข้าวโพด (28) ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ (29) ผลปาล์มน้ำมัน (30) มะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์ (31) ยางพารา ได้แก่
น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ

(9) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค

(32) กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า (33) แชมพู (34) ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก (35) ผลิตภัณฑ์ล้างจาน (36) ผ้าอนามัย (37) ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ (38) สบู่ก้อน สบู่เหลว

(10) หมวดอาหาร

(39) กระเทียม (40) ไข่ไก่ (41) ทุเรียน (42) นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว (43) น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ (44) แป้งสาลี (45) มังคุด (46) ลำไย (47) สุกร เนื้อสุกร (48) หอมหัวใหญ่ (49) อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก (50) อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท (51) ไก่ เนื้อไก่ (52) น้ำตาลทราย

(11) หมวดอื่น ๆ

(53) เครื่องแบบนักเรียน (54) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย

บริการ

 

(55) การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า
(56) บริการซื้อขายและหรือบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ (57) บริการทางการเกษตร (58) บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และ (59) บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ

                   3. ประโยชน์และผลกระทบ
                   เพื่อให้การกำกับดูแลสินค้าและบริการให้มีราคาที่เหมาะสมและมีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ รวมทั้งเพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติทางการ ค้าอันไม่เป็นธรรม จึงเห็นควรกำหนดสินค้าและบริการ จำนวน 59 รายการ (54 สินค้า 5 บริการ) ตามมติ กกร.  ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็นสินค้าและบริการควบคุม
 
11. เรื่อง สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ
                   สาระสำคัญ
                    สปน. รายงานว่า ได้จัดทำสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชนที่มีมาถึงนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็น สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
                   1. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
                             1.1 สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ 1111 รวมทั้งสิ้น 38,260 ครั้ง หรือคิดเป็น 20,045 เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน 15,974 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 79.69 และรอผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4,071 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 20.31
                             1.2 หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็นมากที่สุด 5 ลำดับแรก ดังนี้
                                      (1) ส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการคลัง (กค.) (2,042 เรื่อง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) (1,478 เรื่อง) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (621 เรื่อง) กระทรวงคมนาคม (438 เรื่อง) และกระทรวงสาธารณสุข (392 เรื่อง)
                                      (2) รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (132 เรื่อง) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (84 เรื่อง) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) (77 เรื่อง) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (68 เรื่อง) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (52 เรื่อง)
                                      (3) จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (724 เรื่อง) จังหวัดนนทบุรี (206 เรื่อง) จังหวัดชลบุรี (177 เรื่อง) จังหวัดปทุมธานี (140 เรื่อง) และสมุทรปราการ (132 เรื่อง)
                   2. การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และข้อคิดเห็น ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สรุปได้ ดังนี้
                             2.1 สถิติจำนวนเรื่องร้องทุกข์ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พบว่า มีจำนวนเรื่องร้องทุกข์ เพิ่มขึ้นจำนวน 5,174 เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ จำนวน 14,871 เรื่อง) และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5,515 เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ จำนวน 14,530 เรื่อง)
                             2.2 ประเด็นเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่
                                      (1) ค่าครองชีพ เช่น ประชาชนขอให้พิจารณาทบทวนสิทธิ/อุทธรณ์สิทธิในการเข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ รวมถึงขอรับคำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทะเบียน การตรวจสอบระบบ โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น กค. ควรกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทบทวนสิทธิหรือพิจารณาอุทธรณ์สิทธิให้มีความชัดเจนเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบผลการพิจารณาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว พร้อมทั้งจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ตลอดจนเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการดำเนินโครงการของภาครัฐในระยะต่อไป รวม 6,322 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 5,247 เรื่อง (ร้อยละ 83)
                                      (2) เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน เช่น เสียงดังจากร้านอาหาร สถานบริการ การจัดงานรื่นเริง การรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ในที่สาธารณะ การก่อสร้างอาคารการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น กระทรวงมหาดไทย อปท. หรือหน่วยงาน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการออกใบอนุญาตประกอบกิจกรรม/กิจการ ควรมีการตรวจสอบระดับเสียงในสถานที่จริงและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย กำหนดเขตช่วงเวลาทำกิจกรรม และจัดพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเยาวชนเพื่อป้องกันการใช้พื้นที่สาธารณะไม่เหมาะสม รวม 1,450 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 1,326 เรื่อง (ร้อยละ 91.45)
                                      (3) ประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น ขอความช่วยเหลือ กรณีกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ การหลอกให้โอนเงินการหลอกให้กดลิงก์หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มีการดูดเงินออกจากบัญชี การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) ปลอมแปลงเสียงและการชักจูงให้ลงทุน โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม     ควรส่งเสริมให้ประชาชนระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้และภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวม 1,008 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 728 เรื่อง (ร้อยละ 72.22)
                                      (4) การนำเข้าและส่งออกสัตว์ป่านอกราชอาณาจักร เช่น การนำช้างพลายประตูผา และช้างพลายศรีณรงค์ ซึ่งถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในฐานะทูตสันถวไมตรี ณ ประเทศศรีลังกา กลับสู่ประเทศไทย เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ความเป็นอยู่และสวัสดิภาพ ของช้างทั้งสองเชือก ตลอดจนเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมในการติดตาม ตรวจสอบ และประสานงานเพื่อดูแลและอนุรักษ์ช้างทั้งสองให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น กต. ควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการและแนวทางที่ได้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงและชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดความคับข้องใจของประชาชนรวม 607 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 607 เรื่อง (ร้อยละ 100)
                                      (5) ประเด็นเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เสรีภาพ เช่น การขอความช่วยเหลือกรณีถูกข่มขู่ คุกคาม ถูกทำร้ายร่างกาย และถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลรวมถึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น ตร. ควรเพิ่มช่องทางหรือระบบการติดตามความคืบหน้าของคดีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนรวมทั้งควรสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายแก่ประชาชนรวม 468 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 400 เรื่อง (ร้อยละ 85.47)
                                      (6) ควันไฟ/ฝุ่นละออง/เขม่า เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ไฟไหม้ป่า การเผาพื้นที่ทางการเกษตร เช่น การเผาไร่นา อ้อย และฟางเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงปัญหาฝุ่นละอองจากภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงผสมปูนซีเมนต์ซึ่งส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในพื้นที่โดยรอบ โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความรู้และสนับสนุนเกษตรกรเกี่ยวกับการลดการเผาวัสดุทางการเกษตร ตลอดจนส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าจากเศษวัสดุเหลือใช้ในภาคเกษตรกรรมอย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดให้มีเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่าและปลูกป่าในชุมชน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในพื้นที่เสี่ยงและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อมุ่งสู่การลดมลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน รวม 452 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ  374 เรื่อง (ร้อยละ 82.74)
                                      (7) ไฟฟ้า เช่น ประชาชนขอให้แก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างไฟฟ้าตกบ่อยครั้ง ขอขยายเขตไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางการเกษตร ขอให้แก้ไขปัญหาไฟฟ้าส่องสว่างริมทางชำรุด โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น กฟภ. และการไฟฟ้านครหลวงควรบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการขยายเขตไฟฟ้าเพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรและผู้รับผิดชอบสายทางควรจัดให้มีการตรวจสอบสภาพไฟฟ้าส่องสว่างริมทางเป็นประจำพร้อมกำหนดช่องทางรับแจ้งเบาะแสการชำรุดจากประชาชน เพื่อให้สามารถรับเรื่องและประสานงานซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวม 445 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 356 เรื่อง (ร้อยละ 80)
                                      (8) น้ำประปา เช่น น้ำประปาไม่ไหลหรือไหลอ่อนในวงกว้างการขอขยายเขตการให้บริการน้ำประปา ปัญหาท่อน้ำประปาแตกหรือชำรุด โดยมีข้อเสนอแนะเช่น กปภ. และการประปานครหลวงควรบำรุงรักษาท่อประปาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการขยายเขตให้บริการน้ำประปาเพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรและความต้องการใช้น้ำประปารวม 388 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 323 เรื่อง (ร้อยละ 83.25)
                                      (9) ยาเสพติด เช่น การลักลอบจำหน่ายและการเสพยาเสพติด ขอความช่วยเหลือในการเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาพรวม โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเสริมสร้างการศึกษาและรณรงค์ให้ความรู้เคี่ยวกับโทษและอันตรายของยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดำเนินมาตรการปราบปรามการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด โดยอาศัยความร่วมมือจากประชาชนและเครือข่ายในพื้นที่พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดอย่างเหมาะสม รวม 373 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 292 เรื่อง (ร้อยละ 78.28)
                                      (10) โทรศัพท์ เช่น การวางฐานตู้โทรศัพท์สาธารณะกีดขวางทางเดินบนบาทวิถีให้ผู้สัญจรและสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหย่อนคล้อยต่ำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความไม่สะดวกต่อผู้ใช้งานและผู้สัญจร โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจกำกับดูแลควรได้ตรวจสอบพื้นที่และความเหมาะสมในการติดตั้งอุปกรณ์ รวมทั้งได้จัดให้มีการติดตาม ตรวจสอบหลังการติดตั้งเป็นระยะ และจัดให้มีช่องทางประสานงานกับผู้ให้บริการเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวม 353 เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติ 328 เรื่อง (ร้อยละ 92.92)
 
12. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   ในคราวการประชุม กนป. ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 มีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติสรุปได้ ดังนี้
                  

เรื่อง

มติ กนป.

(1) ขอความร่วมมือ กระทรวงพลังงาน (พน.) พิจารณาปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี 5 เป็น บี 7

- รับทราบการดำเนินการของกรมการค้าภายในในการแจ้งประสานและจัดส่งข้อมูลให้กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี 5 เป็น บี 7
- ขอความร่วมมือ พน. พิจารณาปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี 5 เป็น บี 7 เพื่อช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มที่เป็นอุปทานส่วนเกินที่เกิดจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดมากตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2568 ซึ่งจะช่วยให้ราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มมีเสถียรภาพ

(2) ผลการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม

รับทราบผลการศึกษาโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังและโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมัน ที่เสนอโดยสภาเกษตรกรแห่งชาติ อย่างไรก็ดี พน. อยู่ระหว่างศึกษาโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันเช่นเดียวกัน จึงมอบหมายให้ พน. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

(3) การทบทวนคณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้ กนป.

ยกเลิกคณะอนุกรรมการ/คณะทำงาน ภายใต้ กนป. จำนวน 15 คณะ เนื่องจากภารกิจได้สิ้นสุดตามอำนาจหน้าที่และระยะเวลาดำเนินการ เช่น คณะอนุกรรมการบริหารโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 – 2563 คณะอนุกรรมการพัฒนาโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานการแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม และปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับ ดูแล และตรวจสอบการนำน้ำมันปาล์มผ่านแดน รวมทั้งมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. ยกร่างคำสั่ง แก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับ-ดูแล และตรวจสอบการนำน้ำมันปาล์มผ่านแดนแล้วนำเสนอประธาน กนป. เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป

(4) ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543
สนับสนุนการรับซื้อน้ำมันไบโอดีเซล (บี 100) ตามราคาเสนอแนะ
จากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน พน.

มอบหมาย พน. ร่วมกับฝ่ายเลขานุการ 3 หน่วยงาน (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมการค้าภายใน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) ร่วมหารือพิจารณา ศึกษาแนวทางการซื้อขาย บี 100 ในระดับราคาที่เหมาะสม สมดุล และเป็นธรรม กับทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและกำไรที่เหมาะสม ตั้งแต่ราคาน้ำมันปาล์มดิบจนถึง บี 100 ซึ่งจะทำให้มีเกณฑ์โครงสร้างที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์อุปสงค์อุปทานในแต่ละช่วงเวลา ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน และน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน

(5) แนวทางการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน

มอบหมายคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการผลิตสำรวจพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการผลิต รวมทั้งขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมสำรวจและกำหนดแนวทางการควบคุมการผลิตของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงกลั่น น้ำมันปาล์ม เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

 
 
13. เรื่อง การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล
                   คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันการค้า พิจารณาศึกษาแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทย ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ต่อไป
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. สคก. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (8 เมษายน 2568) แล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
                             1.1 สคก. ได้แจ้งให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายทราบและได้เสนอเรื่องให้คณะอนุกรรมการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มพิจารณาแนวทางในการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ดศ. (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงาน กขค. เข้าร่วมชี้แจงสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
                                       1) คณะอนุกรรมการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มพิจารณาหลักการ 10 ประการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 แล้วเห็นว่า การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล ยังมีความจำเป็นในสภาว่ะการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ดศ. (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงาน กขค. มีความเห็นพ้องกับคณะอนุกรรมการฯ โดยเห็นว่า กลไกของร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้การกำกับดูแล การบังคับใช้และบทกำหนดโทษมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
                                      2) คณะอนุกรรมการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มมีข้อสังเกตว่า การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทยแล้ว ยังอาจใช้เป็นประโยชน์ในการต่อรองกับมาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ทั้งยังจะช่วยให้แพลตฟอร์มดิจิทัล ต่าง ๆ มีสถานะที่เท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น (level playing field) อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคตลอดจนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางสากลที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันโดยละเอียดแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดแนวทางและหลักการที่เหมาะสมต่อไป
                             1.2 สคก. ร่วมกับ ดศ. สำนักงาน ป.ย.ป. และสำนักงาน กขค.นำความเห็นของ สศช. และสำนักงาน กขค. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยแล้วในการประชุมร่วมเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมเห็นว่า เพื่อให้มีความพร้อมในการดำเนินการและหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน ควรมีการศึกษาตลาดและเตรียมบุคลากรให้พร้อมก่อนการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลและควรมีกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และควรพิจารณาการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน จึงมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ดศ. (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) และสำนักงาน กขค. รับไปศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสมในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ต่อไป
                   2. ประโยชน์และผลกระทบ
                   กรณีที่หน่วยงานเกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาทบทวนแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย จะช่วยให้การกำหนดกลไกและมาตรการต่าง ๆ ในกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล สามารถส่งเสริมการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
 
14. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้เสนอผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นชอบด้วย โดยสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
                   1) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณ ในการดำเนินงานบริหารจัดการน้ำเป็นประจำทุกปีและจัดประชุมเชิงวิชาการเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเขตลุ่มน้ำ ดำเนินการทบทวนแผนแม่บทลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาโดยนำแนวทางการบริหารจัดการทะเลสาบแบบ "ลากูน" มาใช้ประกอบการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว รวมถึงดำเนินการยกร่างแผนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็ง ให้สามารถรักษาสถานภาพและส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินขององค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน
                   2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทานดำเนินการถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจัดตั้งเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำแล้วในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ดำเนินการติดตามและเฝ้าระวังการบริหารจัดการน้ำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาและการระบายน้ำสู่อ่าวไทยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งยังไม่พบว่าการระบายน้ำและการส่งน้ำมีผลกระทบต่อการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง รวมถึงได้มีการจ้างศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินงานโครงการชลประทานในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา ซึ่งรวมถึงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โดยมีมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการจัดทำศึกษาร่างกฎหมายเพื่อผลักดันให้มีการยกร่างพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ พ.ศ. .... กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการประสานขอข้อมูลโครงการอาคารประกอบคลองระบายน้ำจากกรมชลประทานเพื่อสามารถติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพบว่าในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลายังไม่มีการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (NbS) กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการติดตามผลกระทบที่เกิดจากโครงการที่ได้ก่อสร้างแล้วเพื่อทบทวนการก่อสร้างและกำหนดมาตรการต่อไปโดยประสานกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมงมีมาตรการในการดำเนินการเก็บกู้เครื่องมือประมงที่เสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งานขึ้นจากทะเลสาบ เช่น สำนักงานประมงจังหวัดสงขลาอยู่ระหว่างดำเนินการร่างแผนปฏิบัติการรื้อถอนเครื่องมือโพงพางเพื่อเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาพิจารณาเห็นชอบรวมถึงกองตรวจการประมงได้ดำเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำอยู่เป็นประจำเพื่อเป็นการฟื้นฟูและเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำ และองค์การกำจัดน้ำเสียดำเนินการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครสงขลา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเสียไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา
 
15. เรื่อง ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
                   1) รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
                   2) เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าวที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ 481 โครงการ 8,939 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 115,375.27 ล้านบาท 
                   โดยให้หน่วยรับงบประมาณ ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รอบคอบ ทั้งต่อระยะเวลา ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญ เช่น กำหนดนโยบายโครงการ วัตถุประสงค์โครงการ แนวทางการดำเนินโครงการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ และแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
                   2. คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของ ธปท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานข้างต้นไม่ขัดข้องในหลักการของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 รวมทั้งควรมีการกำกับและเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานของโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
                   3. คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง ทั้งนี้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 หน่วยรับงบประมาณ (ไม่รวมจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และ อปท.) ได้จัดส่งคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล โดยมีข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง ที่จะดำเนินโครงการโดย 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ 8,939 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 115,375.2715 ล้านบาท  ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
                             1) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
                             ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ จำนวน 188 โครงการ 17,074 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 169,766.2052 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง จำนวน 34 โครงการ 7,986 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 84,999.5422 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังนี้
                                      1.1) ด้านน้ำ มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 8 โครงการ 2,881 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 39,135.8512 ล้านบาท
                                      1.2) ด้านคมนาคม มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 26 โครงการ 5,105 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 45,863.6910 ล้านบาท
                             2) ด้านการท่องเที่ยว
                             ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ด้านการท่องเที่ยว (การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว) มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ จำนวน 1,049 โครงการ 1,760 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น24,607.9356 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง จำนวน 420 โครงการ 922 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,052,5796 ล้านบาท
                             3) ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ
                             ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ จำนวน 258 โครงการ 1,969 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น71,563.0321 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง จำนวน 10 โครงการ 10 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 11,122.1930 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
                                      3.1) ด้านการเกษตร มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 4 โครงการ 4 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 160.2130 ล้านบาท
                                      3.2) ด้านการลดผลกระทบแรงงาน มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 1 โครงการ 1 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท
                                      3.3) ด้านดิจิทัล มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 5 โครงการ 5 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 961.9800 ล้านบาท
                             4) เศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ
                             ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ จำนวน 327 โครงการ 816 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 76,740.0697 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง จำนวน 17 โครงการ 21 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 9,200.9567 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
                                      4.1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (SML) มีคำขอรับจัดสรร งบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 1 โครงการ 1 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน 4,000 ล้านบาท
                                      4.2) โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 14 โครงการ 18 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,559.6567 ล้านบาท
                                      4.3) โครงการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษาเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ มีคำขอรับจัดสรรงบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 2 โครงการ 2 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,641.3000 ล้านบาท
                   ประโยชน์และผลกระทบ
                   การดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ซึ่งครอบคลุมโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคม การท่องเที่ยว การลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ ตลอดจนเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ จะช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เอื้อต่อการเติบโต และกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ (1) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 84,999.5422 ล้านบาท (2) ด้านการท่องเที่ยว วงเงิน 10,052.5796 ล้านบาท (3) ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ วงเงิน 11,122.1930 ล้านบาท และ (4) ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ วงเงิน 9,200.9567 ล้านบาท โดยการจัดสรรงบประมาณเพื่อลงทุนตามข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้นจะนำไปสู่ผลผลิต (Output) ที่ได้ในเชิงเศรษฐกิจมหภาค เช่น จำนวนโครงสร้างพื้นฐาน (ด้านน้ำและด้านคมนาคม) จะเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ด้านการท่องเที่ยวจะช่วยเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ (Outcome) ในเชิงเศรษฐกิจระดับจังหวัด พื้นที่ และท้องถิ่น เช่น ผลิตภัณฑ์จังหวัด (Gross Provincial Products; GPP) เพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัดเฉลี่ยต่อหัว (GPP per capita) เพิ่มขึ้น การจ้างงานในแต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้นรายได้เกษตรกร/ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ผลผลิต (Productivity) ต่อไร่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
                   ทั้งนี้ โครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ จำนวน 481 โครงการ 8,939 รายการ วงเงินทั้งสิ้น 115,375.2715 ล้านบาท จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 0.4 เกิดการจ้างงานประมาณ 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงานประมาณ 34,000 ล้านบาท และจากการวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า 1) เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ 2) เม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ 3) จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ (ยากจน) ได้รับวงเงินสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ 4) จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่า จังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ และ 5) เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลการเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage) อีกด้วย เช่น สาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน และบริการอื่น ๆ เป็นต้น
 
 

ต่างประเทศ

 

16. เรื่อง การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
                   1.ร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงิน [instrument of Contribution (10C)] (ร่าง IOC) สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย14 [Asian Development Fund 14 (ADF 14)] (กองทุน ADF 14)
                   2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่าง IOC เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 14 ของประเทศไทย (ไทย)
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   เรื่องนี้กระทรวงการคลังขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงิน Instrument of Contribution (IOC) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนาม และส่งให้แก่ ธนาคารพัฒนาเอเชีย2 [Asian Development Bank (ADB)] ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568
เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14 [Asian Development Fund 14 (ADF 14)3 (กองทุน ADF 14)] ของประเทศไทย โดยมียอดเงินบริจาคหลังหักส่วนลดจำนวน 91.12 ล้านบาท มีรายละเอียดการแบ่งชำระเงินบริจาค 4 งวด งวดละ 22.78 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2568 - 2571 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว วันที่ 24 กันยายน 2567 ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการเพื่อการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 14 จะส่งผลให้เกิดพันธกรณีแก่ประเทศไทยที่จะต้องชำระเงินดังกล่าว จึงเป็นการทำหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามแต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และโดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าข่ายเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7)
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
_______________________________________
1เป็นกองทุนพิเศษที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย [Asian Development Bank (ADB)] ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2516 เพื่อให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า (Grant) และให้ความช่วยเหลือทางวิชาการผ่านกองทุนพิเศษการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่ประเทศสมาชิก ADB ที่อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยมีแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินบริจาคของประเทศสมาชิก
2ธนาคารพัฒนาเอเชีย เป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคี โดยมีสมาชิกทั้งหมด 69 ประเทศ เช่น ไทย สหรัฐอเมริกา ราชอาณาจักรนอร์เวย์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และประเทศญี่ปุ่น มีวิสัยทัศน์คือ การทำให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปราศจากความยากจนด้วยการให้เงินกู้ยืม ความช่วยเหลือทางวิชาการ การให้เปล่า การลงทุนในตราสารทุน และการให้การค้ำประกันแก่รัฐบาลและธุรกิจเอกชนของประเทศสมาชิกที่กำลังพัฒนา
"แหล่งเงินทุนของกองทุน ADF 14 ประกอบด้วย (1) เงินบริจาคจากประเทศสมาชิก จำนวน 2,565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(2) การโอนรายได้สุทธิจากแหล่งเงินทุนสามัญ จำนวน 1,574 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) รายได้จากการลงทุน จำนวน 351 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (4) เงินทุนสำรองคงเหลือที่โอนมาจาก ADF 13 จำนวน 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
17. เรื่อง ผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท  สมัยที่ 5
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
                    1. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (อนุสัญญาฯ) สมัยที่ 5 ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2566 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
                    2. เห็นชอบข้อเสนอการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาฯ ของประเทศไทยตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 5 ประกอบด้วย (1) สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการและแผนการดำเนินงาน และ (2) แนวทางการดำเนินก่อนมอบตราสารรับรองการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวก เอ และ บี ของประเทศไทย จำนวน 3 รายการ คือ เครื่องสำอางอะมัลกัมที่ใช้ทางทันตกรรม และการผลิตโพลียูรีเทนที่ใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโดยมอบหมายให้หน่วยงาน คือ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) (กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) [สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมอนามัย] กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) (กรมการค้าต่างประเทศ) กระทรวงการคลัง (กค.) (กรมศุลกากร) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และระยะเวลาที่ระบุในแผนการดำเนินงานต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                    เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (24 ตุลาคม 2566) รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยและเห็นชอบ    ต่อกรอบการเจรจาและท่าทีของประเทศไทย สำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท    (อนุสัญญาฯ) สมัยที่ 5 ต่อมาสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ได้จัดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 5 ขึ้น ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2566 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) (กรมควบคุมมลพิษ) ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะศูนย์ประสานงานระดับชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอนุสัญญาฯ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จึงได้นำเสนอผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติ    ตามพันธกรณีอนุสัญญาฯ ของประเทศไทย ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 5  โดยมีสาระสำคัญ  สรุป ดังนี้
 

ผลการประชุม

ข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 5

1) เห็นชอบเพิ่มรายการแบตเตอรี่กระดุมแบบสังกะสีออกไซด์ สะพานไฟ หลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดต่าง ๆ และเครื่องสำอาง รวมทั้งสบู่และครีมผิวขาว (ยกเว้นเครื่องสำอางทารอบดวงตาซึ่งมีปรอทเป็นสารกันบูด)ไว้ในภาคผนวก เอ ส่วนที่ 1

เตรียมการเพื่อรับรองการแก้ไขภาคผนวก เอ ส่วนที่ 1 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง (กค.) (กรมศุลกากร) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) เป็นต้น

2) เห็นชอบให้แก้ไขภาคผนวก เอ ส่วนที่ 2 จำนวน                  1 มาตรการ คือ การส่งแผนปฏิบัติการระดับประเทศหรือรายงานต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ เพื่อลด หรือเลิกใช้อะมัลกัมทางทันตกรรม 4 ปี

จัดทำแนวทางการดำเนินงานก่อนมอบตราสารรับรอง โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น  กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกรมอนามัย) เป็นต้น

3) กำหนดให้ยกเลิกการใช้ปรอทในกระบวนการผลิต จำนวน 1 รายการ คือ การผลิตโพลียูรีเทนโดยใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ไว้ในภาคผนวก บี ส่วนที่ 1

จัดทำแนวทางการดำเนินงานก่อนมอบตราสารรับรองโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) และ อก. (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) เป็นต้น

4) กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำความเข้มข้นรวมของของเสียปรอทที่ 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และให้ประเทศที่ใช้เกณฑ์ที่แตกต่าง ต้องจัดส่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีมาตรการจัดการของเสียปรอทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2567

แจ้งเกณฑ์ความเข้มข้นรวมของของเสียปรอทของประเทศไทยในปัจจุบัน (20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) พร้อมทั้งเอกสารว่าประเทศไทยมีมาตรการจัดการของเสียปรอทของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้กับสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาฯ ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ทส. (กรมควบคุมมลพิษ) และ อก. (กรมโรงงานอุตสาหกรรม)

 
                    ทั้งนี้ กค. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สธ. อก. และสำนักงานสภาพัฒนา   การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดย อก. มีความเห็นเพิ่มเติมว่าในส่วนของการเตรียมการเพื่อรองรับการแก้ไขภาคผนวก เอ ส่วนที่ 1 ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท กรณีแบตเตอรี่กระดุม สะพานไฟ สวิตซ์และรีเลย์รวมถึงหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดต่าง ๆ อก. เห็นควรพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
 

แต่งตั้ง

 

18. เรื่อง  การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(สำนักนายกรัฐมนตรี)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ รับโอน นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน     สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
 
19. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กระทรวงอุตสาหกรรม)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แต่งตั้ง นายสุเมธตั้งประเสริฐ เป็นผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 และครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ 
 
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เสนอ แต่งตั้ง นายวัธนชัย ทองประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ  สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
 
21. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (กระทรวงพาณิชย์)
                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะครบวาระการดำรงตำแหน่งสองปี ดังนี้
                   1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์                สาขาวิศวกรรมศาสตร์
                   2. นายธีรยศ เวียงทอง                         สาขาวิศวกรรมศาสตร์
                   3. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช         สาขาเภสัชศาสตร์
                   4. นายพีระ เจริญพร                            สาขาเศรษฐศาสตร์
                   5. นายเพชร เจียรนัยศิลาวงศ์              สาขาวิศวกรรมศาสตร์
                   6. นายวิชา ธิติประเสริฐ                       สาขาเกษตรศาสตร์ (ภาคเอกชน)
                   7. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์           สาขานิติศาสตร์ (ภาคเอกชน)
                   8. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล           สาขาอุตสาหกรรม (ภาคเอกชน)
                   9. นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล                 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (ภาคเอกชน)
                   10. นายเกรียงศักดิ์ ขาวเนียม               สาขาวิทยาศาสตร์ (ภาคเอกชน)
                   11. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์           สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
                                                                             (ภาคเอกชน)
                    12. นางสาวโอภา วัชระคุปต์                สาขาเภสัชศาสตร์ (ภาคเอกชน)
                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
 
22. เรื่อง การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 (สำนักนายกรัฐมนตรี) 
          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์ ศิรินิล) สั่งและปฏิบัติราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่   1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
 
23. เรื่อง  คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  184/2568   เรื่อง  แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  184/2568   เรื่อง  แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
                     ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 7/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่  6 มกราคม 2568 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 นั้น
                   เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567  และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 ดังนี้
1.  ให้ยกเลิกส่วนที่ 4 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567
2.  รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย)
 - ให้ยกเลิกความในข้อ 1.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
 “1.1  การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้
         1.1.1 กระทรวงกลาโหม
         1.1.2 กระทรวงมหาดไทย
         1.1.3 กระทรวงยุติธรรม
         1.1.4 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
         1.1.5 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
         1.1.6 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)”
3.  รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ)
-  ให้ยกเลิกความในข้อ 2.1
 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
 “2.1  การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
         2.1.1 กระทรวงการต่างประเทศ
         2.1.2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
         2.1.3 กระทรวงคมนาคม
         2.1.4 กระทรวงแรงงาน
         2.1.5 กระทรวงวัฒนธรรม
         2.1.6 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี”
4.  รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง)
4.1  ให้ยกเลิกความในข้อ 6.1
 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“6.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
         6.1.1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
         6.1.2 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
         6.1.3 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
         6.1.4 กระทรวงศึกษาธิการ
         6.1.5 กระทรวงสาธารณสุข
         6.1.6 กรมประชาสัมพันธ์
         6.1.7 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
         6.1.8 สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และ การสร้างความสามัคคีปรองดอง”

4.2  ให้ยกเลิกความในข้อ 6.3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“6.3  การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
​         6.3.1 สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
         6.3.2 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
         6.3.3 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
         6.3.4 สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
         6.3.5 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
         6.3.6 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
         6.3.7 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
         6.3.8 สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)”

ทั้งนี้   ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป


ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/97783