สาระน่ารู้


สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 ธันวาคม 2568


                   วันนี้ 2 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น.  นายอนุทิน ชาญวีรกูล  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล      สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

 

กฎหมาย

1.       เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุน  ประกันสังคม พ.ศ. ....

2.       เรื่อง     ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

3.       เรื่อง     ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... รวม 2 ฉบับ

4.        เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....

5.       เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงบางส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ....

6.       เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .…

 

เศรษฐกิจ-สังคม

7.       เรื่อง     การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้น เงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3

8.       เรื่อง     โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ 3 (คขก.3)

9.       เรื่อง     การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2529/33 แปลงสำรวจในทะเล อ่าวไทยหมายเลข B12/27

10.      เรื่อง     รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา

11.      เรื่อง     มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ

12.      เรื่อง     การสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership: OGP) ของประเทศไทย

13.      เรื่อง     ข้อเสนอแนะกรณีการรื้อหรือปรับปรุงฝายพญาคำ  ฝายหนองผึ้ง  และฝายท่าวังตาล (แม่น้ำปิง) จังหวัดเชียงใหม่

14.      เรื่อง     ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคาร ผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)

15.      เรื่อง     มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

16.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบในหลักเกณฑ์และกรอบอัตราค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา

17.      เรื่อง     การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงิน สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

18.      เรื่อง     รายงานผลการให้ความร่วมมือจัดการภัยพิบัติทางด้านอุทกภัย

19.      เรื่อง     ข้อเสนอเชิงนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่น เป็นศูนย์กลาง

20.      เรื่อง     ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2567

21.      เรื่อง     มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย

 

 

ต่างประเทศ

22.      เรื่อง     การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือทาง การเมือง

23.      เรื่อง     การต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 และวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

         

 

แต่งตั้ง

24..     เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)

25.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒ (กระทรวงยุติธรรม)

26      เรื่อง     การบรรจุบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญงานสูง เข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)

27.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)

28.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)

29.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ)

30.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

31.      เรื่อง      ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2

 

 

 

 

 

กฎหมาย

1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ค่าจ้างขั้นต่ำ
และขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งปัจจุบันกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นมาตรฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 แต่ละคน โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาทและขั้นสูง ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นผู้ประกันตนและนายจ้างของลูกจ้างมีภาระ ที่จะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 5 ของรายได้ต่อเดือนไม่เกินเพดาน ค่าจ้างที่กำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว ดังนั้น ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินค่าจ้างต่ำสุดจะต้องจ่ายเงินสมทบอยู่ที่ 83 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 750 บาทต่อเดือน แต่โดยที่กฎกระทรวงดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานทำให้ฐานในการคำนวณเงินสมทบดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน อาทิ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุดซึ่งในปัจจุบันมีอัตรา 400 บาทต่อวัน แต่ยังคงใช้ฐานในการคำนวณจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี พ.ศ. 2538 (อัตรา 135 บาทต่อวัน) รวมถึงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ตามอนุสัญญาฉบับที่ 102 เรื่อง สิทธิประโยชน์ประกันสังคมขั้นพื้นฐาน ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกำหนดฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ใหม่ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุดในปัจจุบัน โดยเดิมเพดานค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนกำหนดไว้ขั้นสูงไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้ได้ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นแบบขั้นบันไดโดยปรับ 3 ปี ต่อครั้ง ดังนี้ (1) ปี 2569 – 2571 ค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 17,500 บาท (2) ปี 2572 2574 ค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 20,000 บาท และ (3) ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป ค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 23,000 บาท และกำหนดขั้นต่ำของค่าจ้าง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบดังกล่าวให้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท (เหมือนกฎกระทรวงเดิม) ทำให้ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างมากกว่า 15,000 บาท และนายจ้างของผู้ประกันตนดังกล่าวมีภาระ ที่จะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้นต่อคนต่อเดือน โดยจ่ายในอัตราเท่าเดิม (ร้อยละ 5 ของรายได้ต่อเดือน) และไม่เกินจำนวนเพดานค่าจ้างที่ปรับใหม่ [เช่น ในปี 2569 -2571 กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นสูงไม่เกิน 17,500 บาท ผู้ประกันตนและนายจ้างของผู้ประกันตนดังกล่าวจะจ่ายเงินสมทบจำนวนไม่เกิน 875 บาท (เดิมเงินสมทบไม่เกิน 750 บาท/เดือน)] ซึ่งการปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างดังกล่าวทำให้กองทุนฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเงินสมทบของกลุ่มผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่าเพดานค่าจ้างในปัจจุบัน ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับค่าจ้างจริง เช่น เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต เนื่องจากมีการคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องมีภาระเพิ่มเติมสำหรับเงินสมทบในส่วนของรัฐบาล (อัตรา 2.75) เช่นเดียวกัน

                   ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... โดยยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เพื่อกำหนดฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคน มีดังนี้

 

ประเด็น

กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538)

ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม

พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ
และขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ....

วันที่เริ่มใช้บังคับ

- ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม

พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป

- ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม
พ.ศ.
2569 เป็นต้นไป

อัตราจ้างขั้นต่ำและ

ขั้นสูงที่ใช้เป็นฐาน

ในการคำนวณเงิน

สมทบของผู้ประกันตน

- ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคนให้กำหนด

เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท

และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท

- ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคน ให้กำหนดขั้นต่ำและขั้นสูง ดังต่อไปนี้

(1) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569

ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571 จำนวนไม่ต่ำกว่า

เดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 17,500 บาท

(2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2572

ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2574 จำนวนไม่ต่ำกว่า

เดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 20,000 บาท

(3) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2575

เป็นต้นไป จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 23,000 บาท

                   2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวและมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น กระทรวงการคลังเห็นควรให้กระทรวงแรงงานมีแผนการรองรับผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากแม้ว่ากองทุนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มเพดานค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม แต่รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเช่นกันรวมถึงทำให้กองทุนประกันสังคมมีรายจ่ายเงินบำนาญชราภาพที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นควรให้กระทรวงแรงงานพิจารณาเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ประกันตนสามารถกำหนดอัตราการส่งเงินสมทบโดยสมัครใจ ตามความเหมาะสม กับศักยภาพทางการเงินของแต่ละบุคคล และขยายขอบเขตความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ว่างงานที่ประสงค์จะส่งเงินสมทบโดยสมัครใจในช่วงที่ไม่มีรายได้ รวมถึงกำหนดมาตรการ ช่วยเหลือผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง สำนักงบประมาณเห็นควรให้กระทรวงแรงงานจัดทำแผนงบประมาณรายจ่ายระยะปานกลางและระยะยาว ควบคู่กับแผนบริหารเงินกองทุนประกันสังคม รวมถึงจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของนายจ้างและค่าครองชีพซึ่งอาจกระทบต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ และดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง

 

2. เรื่อง  ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ

                    สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....  ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ เป็นการยกระดับกฎหมายจากระเบียบ (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นพระราชบัญญัติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวของประเทศไทยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันจะนำไปสู่การป้องกันและลดความรุนแรงของปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกผ่านการดำเนินงานร่วมกับนานาประเทศโดยมีเป้าหมายที่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ในฐานะภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ
ว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCC) เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณภาพและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและความปลอดภัยในชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชาชนรุ่นหลังและมนุษยชาติ ตลอดจนบรรลุการพัฒนา
ทางเศรษฐกิจแบบเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี
พ.ศ. 2608 ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. กำหนดให้มีคณะกรรมการ 4 คณะ ได้แก่

(1) คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เช่น เสนอนโยบาย เป้าหมายและมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก เสนอแผนแม่บท แผนลดก๊าซเรือนกระจก และแผนการปรับตัวเสนอแนวทางและท่าทีในการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ

(2) คณะกรรมการกองทุนภูมิอากาศ มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบายและออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งในการบริหารกิจการของกองทุน และปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นในวัตถุประสงค์ของกองทุน (3) คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน มีอำนาจหน้าที่ เช่น ประเมินผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ของกองทุน รายงานข้อจำกัดหรืออุปสรรคของการดำเนินกิจการของกองทุน และ (4) คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550) โดยเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เช่น กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
ตรวจวัดจัดทำ ทวนสอบ และนำส่งรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

                   2. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงานรัฐที่ไม่เป็น
ส่วนราชการ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เสมอภาคและเป็นธรรม สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและศักยภาพให้กับประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดให้เงินและทรัพย์สินของกองทุน
มาจากรายได้ต่าง ๆ เช่น เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน เงินค่าธรรมเนียมจากการอนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากมาตรการ หรือกลไกต่าง ๆ เงินอุดหนุน เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากภาคเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เงินค่าปรับเป็นพินัย ทั้งนี้ เงินและทรัพย์สินของกองทุนที่ได้รับดังกล่าว ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย และกำหนดให้กองทุนมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ เช่น ถือกรรมสิทธิ์มีสิทธิครอบครองและมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก่อตั้งสิทธิ หรือกระทำนิติกรรมใด ๆ หาประโยชน์จากทรัพย์สินของกองทุน และกระทำการอื่นใดเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุน

                             1.3 กำหนดให้จัดทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จากแหล่งกำเนิดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดกลับโดยธรรมชาติ หรือกิจกรรมของมนุษย์ และปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิตามกรอบระยะเวลาของแผนลดก๊าซเรือนกระจก โดยให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนมีหน้าที่จัดเก็บและรายงานทั้งมูลกิจกรรม เพื่อใช้ในการจัดทำฐานก๊าซเรือนกระจก

                             1.4 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายฯ จัดทำแผนปฏิบัติการ เรียกว่า “แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ” เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐตามเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้สอดคล้องกับแผนแม่บท

                             1.5 กำหนดให้มีระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่และอำนาจ เช่น จัดให้มีระบบทะเบียนและบัญชี เพื่อการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับระบบการซื้อขายสิทธิ ดำเนินการให้นิติบุคคลควบคุมได้รับการจัดสรรสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(โดยวิธีการให้เปล่าหรือการประมูล) ตามแผนการสรรสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนิติบุคคลควบคุมต้องยื่นคำขอเพื่อรับการจัดสรรสิทธิอย่างน้อย 8 เดือน ก่อนวันเริ่มต้นของระยะเวลาจัดสรร ทั้งนี้ นิติบุคคลควบคุมสามารถโอน รับโอน ซื้อ หรือขาย ซึ่งสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างกันได้ในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือช่องทางที่กำหนดในกฎกระทรวง สามารถนำคาร์บอนเครดิตที่เข้าข่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดมายื่นคำขอให้แปลงเป็นสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้และนิติบุคคลควบคุมต้องคืนสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้แก่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดของแต่ละปีดำเนินการ

                             1.6 ให้มีกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน เพื่อจัดการกับการรั่วไหลของคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้านำเข้าตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนและชำระราคาใบรับรองการปรับราคาคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้าตามที่กำหนดดังกล่าว เป็นจำนวนเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ระบุไว้ในปีปฏิทินก่อนหน้าให้แก่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ภายใน 5 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดปีปฏิทิน ทั้งนี้ ผู้นำเข้าอาจนำหลักฐานการชำระราคาคาร์บอนที่ได้ชำระไปแล้ว
ตามกฎหมายในประเทศผู้ผลิตสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อขอลดหย่อนราคาที่ต้องชำระสำหรับใบรับรองการปรับราคาคาร์บอนได้

                             1.7 กำหนดให้มีภาษีคาร์บอนที่เรียกเก็บจากสินค้า 31 ประเภท และอาจกำหนดสินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยออกเป็นกฎกระทรวง โดยให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้นำเข้ามีหน้าที่เสียภาษีตามปริมาณของสินค้าตามพิกัดอัตราภาษีที่กำหนดในกฎกระทรวงไม่เกินอัตราที่ระบุไว้ในบัญชีพิกัดอัตราภาษีท้ายพระราชบัญญัตินี้ (ไม่เกิน 12-120 บาท/หน่วยสินค้า เช่น น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ภาษีคาร์บอน 80 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็ว บี 7ภาษีคาร์บอน 93 บาท/ลิตร) กำหนดการยื่นแบบรายการภาษีและการชำระภาษี โดยให้กรมสรรพสามิตและ
กรมศุลกากร เป็นผู้เรียกเก็บภาษีคาร์บอน กำหนดให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตและพนักงานศุลกากร มีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิอุทธรณ์กำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิขอลดหย่อนภาษีได้ และมีสิทธิได้รับคืนเงินภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด กำหนดการบังคับชำระภาษีค้าง และกำหนดการจัดเก็บเงินภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อราชการส่วนท้องถิ่น ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินร้อยละ
10 ของภาษี

                             1.8 กำหนดให้คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สินและสามารถโอน รับโอน  ซื้อ ขาย หรือจำหน่ายโดยประการอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้ โดยให้คาร์บอนเครดิตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ภายในประเทศหรือวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ต้องเป็นคาร์บอนเครดิตจากโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายในประเทศและได้รับการรับรอง สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และธุรกิจและบริการคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ วิธีการโอน รับโอน ซื้อ ขาย หรือจำหน่ายโดยประการ ซึ่งคาร์บอนเครดิตให้มีผลต่อเมื่อจดทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)และผู้ประกอบธุรกิจคาร์บอนเครดิตต้องขึ้นทะเบียนการประกอบธุรกิจคาร์บอนเครดิตกับคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าชเรือนกระจก

                             1.9 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติจัดทำแผนนโยบายเรียกว่า “แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพื่อกำหนดแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน และวางแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดความสูญเสียและความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับกรณีที่จังหวัดหรือท้องถิ่นใดได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้จังหวัดหรือท้องถิ่นนั้นโดยการสนับสนุนของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น

                             1.10 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ จัดให้มีมาตรฐานกลางในการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เรียกเรียกว่า “มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจตรงกันและมีจุดยึดโยงให้นำไปใช้อ้างอิงในการประเมินสถานการณ์ดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วางแผนเชิงกลยุทธ์ กำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการ รวมถึงจัดสรรและใช้จ่ายเงินทุนได้อย่างมีมาตรฐานสอดคล้องกัน และให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมาบังคับใช้

                             1.11 กำหนดความผิดและโทษ สำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ตามระดับความรุนแรงของผลกระทบจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้มีการกระทำ ฝ่าฝืนมาตรการบังคับ และป้องกันมิให้เกิดผลร้ายอันเกิดขึ้นจากการฝ่าฝืนนั้น รวมถึงจูงใจให้บุคคลภายใต้บังคับปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีต่าง ๆ  เช่น รายงานข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อมูลมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยตั้งแต่ 30,000 บาท ถึง 300,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 3,000 บาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ไม่นำส่งรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ไม่เกิน 100,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

                   2. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคาดว่าต้องใช้งบประมาณในการปฏิบัติตามและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายในระยะ 3 ปีแรก จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จำนวน 392,513,998 บาท และต้องเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น จำนวน 155 อัตรา

                   3. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองกรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 77 ฉบับ

 

3. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... รวม 2 ฉบับ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ  และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.  ไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไป รวมทั้ง ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

                    สาระสำคัญของระเบียบ

                   เสนอว่า

                   1. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. 2548 และระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ได้ใช้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติงานด้านการตรวจราชการและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการตรวจราชการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่บริบทของสังคมและสภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบันได้มีการพัฒนาด้านต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ แนวทางปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ บางประการจึงอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ประกอบกับหลายหน่วยงานได้มีการกำหนดระเบียบในการปฏิบัติงานตรวจราชการไว้เป็นการเฉพาะของหน่วยงาน

                   2. สปน. จึงได้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตามข้อ 1 รวม 2 ฉบับ ดังนี้

                             2.1 ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. 2548 โดยแก้ไขเพิ่มเติมให้การตรวจราชการครอบคลุมถึงกระทรวงกลาโหม เพิ่มกลไก/เครื่องมือหลักในการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบของคณะกรรมการ เพื่อขับเคลื่อนการตรวจราชการแบบองค์รวม และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่และจริยธรรมให้ครอบคลุมผู้ปฏิบัติงานสนับสนุนการตรวจราชการ ซึ่งมีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้

 

ประเด็น

สาระสำคัญ

1. เพิ่มเติมหน่วยงานภาคใต้บังคับระเบียบ   (ร่างข้อ 3)

กำหนดให้การตรวจราชการครอบคลุมถึงกระทรวงกลาโหม (ปัจจุบันการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย ยกเว้นการตรวจราชการในหน่วยงานของรัฐสังกัดกระทรวงกลาโหม)

2. เพิ่มเติมช่วงเวลาจัดทำแผนการตรวจราชการ (ร่างข้อ 5)

กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐและผู้ตรวจราชการร่วมกันจัดทำแผนการตรวจราชการประจำปีให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่หนึ่งของปีงบประมาณนั้น (ปัจจุบัน กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐและผู้ตรวจราชการร่วมกันจัดทำแผนการตรวจราชการประจำปีให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมปีงบประมาณนั้น)

3. เพิ่มเติมเครื่องมือการขับเคลื่อนการตรวจราชการ (ร่างข้อ 6)

กำหนดกลไกและเครื่องมือหลักในการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบของคณะกรรมการขับเคลื่อนการตรวจราชการและติดตาม

ผลการตรวจราชการประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนัก

นายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสำนัก

งบประมาณ ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

แทนสำนักงาน ก.พ.ร. จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ

สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้

(1) กำหนดแผนการตรวจราชการร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

และผู้ตรวจราชการกระทรวง

(2) พิจารณารายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ

(3) กำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาการตรวจราชการในภาพรวม การพัฒนา

บุคลากรด้านการตรวจราชการทุกระดับ การพัฒนาเครื่องมือและระบบสารสนเทศ

เพื่อสนับสนุนการตรวจราชการ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการตรวจราชการของภาคสังคมและหรือภาคประชาชนในทุกระดับ

(4) ติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะจากการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

(5) ดำเนินการตรวจติดตามกรณีเร่งด่วน นโยบายสำคัญ มติ ครม.

(6) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงาน

ของคณะกรรมการ

(กำหนดใหม่)

4. แก้ไขมาตรฐาน
ในการปฏิบัติหน้าที่และจริยธรรม

(ร่างข้อ 9)

กำหนดให้ผู้ตรวจราชการและผู้ปฏิบัติงานสนับสนุนการตรวจราชการจะรับสิ่งของ

มีค่าหรือผลประโยชน์ใด ๆ จากผู้รับการตรวจหรือผู้เกี่ยวข้องมิได้ เว้นแต่เป็นการให้

ตามปกติประเพณีนิยมซึ่งมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินสามพันบาทจากผู้ให้แต่ละคน

แต่ละโอกาส หรือตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ

พ.ศ. 2565 กำหนดไว้ (ร่างฯ ข้อ 9) (ปัจจุบัน ผู้ตรวจราชการต้องไม่รับสิ่งของมีค่า

หรือผลประโยชน์ใด ๆ จากผู้รับการตรวจหรือผู้เกี่ยวข้อง)

5. เพิ่มเติมรูปแบบสมุดตรวจราชการ                      (ร่างข้อ 10)

กำหนดให้สมุดตรวจราชการอาจอยู่ใบรูปแบบสมุดที่เป็นเอกสารหรือไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ (ปัจจุบัน ไม่ได้กำหนดให้สมุดตรวจราชการในรูปแบบเอกสาร

หรือไฟล์อิเล็กทรอนิกส์)

                             2.2 ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. 2562 โดยแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมการตรวจราชการ และคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของที่ปรึกษา ผู้ตรวจราชการภาคประชาชน โดยมีหน้าที่และอำนาจตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. 2562 ข้อ 6 ซึ่งสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้

 

ประเด็น

สาระสำคัญ

1. เพิ่มเติมองค์ประกอบ คกก. ส่งเสริมการตรวจราชการ (ร่างข้อ 3)

กำหนดให้มี คกก.ส่งเสริมการตรวจราชการประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจราชการ

สำนักนายกรัฐมนตรี หรือผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสำนัก

นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน หัวหน้าผู้ตรวจราชการทุกกระทรวงหรือ

ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่ปลัดกระทรวงมอบหมาย เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการ

สำนักตรวจราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือข้าราชการสำนักงาน

ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสำนักน่ายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นกรรมการ

และเลขานุการ (ปัจจุบัน ไม่ได้กำหนดให้มีผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่ปลัดกระทรวง

มอบหมาย และข้าราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสำนัก

นายกรัฐมนตรีมอบหมาย)

2. แก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน

(ร่างข้อ 4)

กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนต้องไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียทางจริยธรรม จรรยาบรรณ และการประกอบอาชีพ                ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เพราะกระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (ปัจจุบัน ไม่ได้กำหนดเป็นลักษณะต้องห้ามไว้)

3. แก้ไขหลักเกณฑ์การประเมินที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ร่างข้อ 6)

ให้ สปน. จัดทำการประเมินที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ตามหลักเกณฑ์

ที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อพัฒนากลไกที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน

ให้เข้มแข็งและยั่งยืน และให้นำผลการประเมินไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการด้วย (ปัจจุบัน ไม่ได้กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนด

หลักเกณฑ์)

                   ทั้งนี้ สปน. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระเบียบในเรื่องนี้ ได้แก่ กระทรวง กรม จังหวัดและส่วนราชการในจังหวัด รวมทั้งที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการ ภาคประชาชนทั่วประเทศพบว่ามีผู้แสดงความคิดเห็น จำนวน 1,796  ราย โดยเห็นด้วยกับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คิดเป็นร้อยละ 96.94  และเห็นด้วยกับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน  (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คิดเป็นร้อยละ 97.22

 

4.  เรื่อง ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีรับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

                   สาระสำคัญร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....  ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสียใหม่ โดยยกเลิกกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2548 และกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 และแก้ไขชื่อ

“คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม” เป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและการดำเนินงานในปัจจุบัน โดยเป็นการปรับชื่อส่วนราชการระดับคณะที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา และสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศให้มีประสิทธิภาพ และได้ดำเนินการตามขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ตามข้อ 4.4 แล้ว ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยแล้ว

 

5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงบางส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงบางส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ   ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไปยังกระทรวงพาณิชย์เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงบางส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2553 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดย 1) เปลี่ยนชื่อกรมจาก  “กรมส่งเสริมการส่งออก” เป็น “กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” ตามพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมการส่งออกเป็นกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2555 และ
ปรับภารกิจให้ครอบคลุมด้านการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและธุรกิจบริการรวมทั้งปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ อาทิ ด้านการพัฒนาระบบและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่ผู้ประกอบการ และด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สินค้าและธุรกิจบริการ การค้าระหว่างประเทศ 2) เปลี่ยนชื่อแต่ไม่ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ จำนวน 1 สำนัก ได้แก่ “สำนักบริหารกลาง” เป็น “สำนักงานเลขานุการกรม” 3) ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่มีการเปลี่ยนชื่อ จำนวน 1 กอง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด อาทิ ปรับภารกิจให้สอดคล้องกับภารกิจปัจจุบันด้านมาตรการการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และด้านประสานงานผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ และ 4) ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ และเปลี่ยนชื่อ จำนวน 5  กอง 1 สถาบัน อาทิ “ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ” เป็น “กองเทคโนโลยีสารสนเทศและพาณิชย์ดิจิทัล” มีหน้าที่และอำนาจ เช่น ด้านการพัฒนาและบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการให้บริการข้อมูลด้านการค้าระหว่างประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์วางแผนการพัฒนาดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศของกรม รวมถึงนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ “สำนักพัฒนาการตลาดต่างประเทศ” เป็น
“กองพัฒนาตลาดต่างประเทศ” มีหน้าที่และอำนาจ เช่น การแสวงหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจปัจจุบันและรองรับโอกาสทางการค้าในอนาคต และ “สถาบันฝึกอบรมการค้าระหว่างประเทศ” เป็น “สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่” มีหน้าที่และอำนาจ เช่น การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการผู้สนใจด้านการค้าระหว่างประเทศ และการสร้างเครือข่ายทางวิชาการและประสานความร่วมมือเพื่อรองรับภารกิจใหม่ในอนาคต  ทั้งนี้ ในการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการและหน้าที่และอำนาจของกรมส่งเสริม  การค้าระหว่างประเทศดังกล่าว ไม่มีการเพิ่มจำนวนกองและอัตรากำลังในภาพรวม โดยกระทรวงพาณิชย์
ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม
ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามข้อ 4.3 แล้ว ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ไม่ขัดข้องหรือเห็นชอบด้วยแล้ว

 

6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .…

                   คณะรัฐมนตรีมีเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ .) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                   คค. เสนอว่า

                   1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 63/15

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2562 กำหนด
ให้หน่วยงานของรัฐสามารถยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ศาลออกหมาย บังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินได้
โดย “หน่วยงานของรัฐ” ตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึง กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียก
ชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

                   2. สำหรับ กทท. มิได้มีสถานะทางกฎหมายเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่นตามนัยมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทำให้ไม่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ ประกอบกับการดำเนินการตามมาตรการบังคับทางปกครอง กทท. ขาดบุคลากรที่มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สิน ส่งผลให้การบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยเหตุดังกล่าว จึงสมควรกำหนดให้ กทท. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ บังคับทางปกครองแทนได้ ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินของ กทท. มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดให้ กทท. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองได้ ตามมาตรา 63/15 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ

 

เศรษฐกิจ-สังคม

7. เรื่อง การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 5,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                    กองทุนฯ ได้ทบทวนประมาณการกระแสเงินรับ – จ่ายของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 แล้วเห็นว่า กองทุนฯ จะมีสภาพคล่องคงเหลือภายหลังสำรอง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่สามารถชำระหนี้ FIDF 1 และ FIDF 3 ได้จำนวน 5,000 ล้านบาท คณะกรรมการจัดการกองทุนในคราวประชุมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 จึงเห็นควรให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กองทุนฯ นำส่งเงินดังกล่าวเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 5,000 ล้านบาท โดยทยอยโอนเงินเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ

 

8. เรื่อง โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ 3 (คขก.3)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร (โครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ) ระยะที่ 3 วงเงินลงทุนรวม 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน 1,875 ล้านบาท (ร้อยละ 75) และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 625 ล้านบาท (ร้อยละ 25) โดยมีเป้าหมายเกษตรกรไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ของ กฟภ. มาแล้ว 2 ครั้ง
(มติคณะรัฐมนตรี 5 ส.ค. 52 และ 31 พ.ค. 54) โดย กฟภ. ได้ดำเนินการขยายเขตไฟฟ้าให้เกษตรกรตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 1 รวมทั้งสิ้น 73,308 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 244.36 (เป้าหมาย 30,000 ราย) และตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 2 รวมทั้งสิ้น 55,876 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 137.63 (เป้าหมาย 40,600 ราย) แต่จากการสำรวจพบว่ายังมีเกษตรกรจำนวนมากที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ทำกินทางการเกษตรและมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น กฟภ. จึงจัดทำโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 3 (ข้อเสนอในครั้งนี้) โดยโครงการดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

ประเด็น

สาระสำคัญ

1. วัตถุประสงค์

เพื่อจัดหาบริการไฟฟ้าในพื้นที่ทำกินทางการเกษตรอันจะเป็นการสนับสนุนการประกอบอาชีพของเกษตรกรให้สามารถใช้ไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยผลิตทางการเกษตรได้ และก่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาชนบท

2. เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ

ขยายเขตไฟฟ้าให้เกษตรกร จำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 ราย ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. ทั่วประเทศ

3. ระยะเวลาดำเนินการ

ดำเนินการในช่วงปี 2568 - 2572

 

4. การคัดเลือกครัวเรือนเข้าร่วมโครงการ

• หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกครัวเรือนเข้าร่วมโครงการ ได้แก่

(1) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการขยายเขตไฟฟ้า ไม่เกิน 70,000 บาทต่อราย กรณีวงเงินลงทุนเกินค่าเฉลี่ยดังกล่าว ผู้ขอใช้ไฟสามารถชำระเงินสมทบส่วนเกินให้ กฟภ. ได้หรือ กฟภ. จะดำเนินการพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป

(2) เกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร (ทะเบียนเกษตรกร ทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์/สัตว์น้ำ)

(3) ต้องไม่อยู่ในเขตพื้นที่หวงห้ามใด ๆ ของทางราชการ ยกเว้นหน่วยงานเจ้าของพื้นที่จะอนุญาตให้ดำเนินการขยายเขตไฟฟ้าได้

(4) ต้องมีทางสาธารณะหรือทางภาระจำยอม เพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งผ่านได้อย่างสะดวกและสามารถดำเนินการก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยวิธีปักเสาพาดสายได้ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่ กฟภ. ประกาศใช้ในปัจจุบัน (หากเป็นทางภาระจำยอมจะต้องมีหลักฐานการจดทะเบียนภาระจำยอมของเจ้าของที่ดินตามกฎหมายมาแสดงให้ กฟภ.)

(5) ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือหนังสือสัญญาเช่าที่ดินทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ทำกินทางการเกษตรที่ได้ยื่นคำร้อง และต้องไม่ใช่ที่ดินที่ถือครองโดยเอกชนรายใหญ่ และในกรณีที่ที่ดินไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่เป็นที่ดินที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองและจัดสรรให้เกษตรกรเข้าทำกิน (เช่น ที่ดินในเขต ส.ป.ก. และนิคมสร้างตนเอง) ผู้ยื่นคำร้องจะต้องแสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตให้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ของราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ครอบครองในที่ดินมาแสดง

(6) เป็นเกษตรกรรายย่อยที่ขอติดตั้งมิเตอร์ขนาดไม่เกิน 15 (45) แอมป์ต่อราย หรือขอติดตั้งมิเตอร์ขนาด 5 (100) แอมป์ ที่ใช้กับเซอร์กิตเบรกเกอร์พิกัดปรับตั้งสูงสุดไม่เกิน 50 แอมป์ต่อราย

ทั้งนี้ รายละเอียดการเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 1 - 3 ปรากฏตามเอกสารแนบท้าย 1

• การจัดลำดับของพื้นที่ทำกินทางการเกษตรที่จะเข้าดำเนินการขยายเขตไฟฟ้าจะพิจารณาโดยใช้หลักเงินลงทุนในการดำเนินการต่ำสุด แต่ให้ผลตอบแทนสูงสุดและความพร้อมในการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง

5. ปริมาณงาน

รายการ

จำนวน

(1) ก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงสูง

1,750 วงจร-กิโลเมตร

(2) ก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงต่ำ

4,850 วงจร-กิโลเมตร

(3) ติดตั้งหม้อแปลง

75,000 เควีเอ

(4) ติดตั้งมิเตอร์

ไม่เกิน 50,000 เครื่อง

 

6. ผลตอบแทนของโครงการ

ผลตอบแทนทางการเงิน (อัตราคิดลดร้อยละ 4.62)

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ [Net Present Value : (NPV)]

-1,994.62 ล้านบาท

อัตราผลตอบแทนทางการเงิน

(Financial Internal Rate of Return : FIRR)

ร้อยละ -6.13

อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อต้นทุนทางการเงิน

[Benefit/Cost Ratio (B/C Ratio)]

0.13 เท่า

ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (อัตราคิดลดร้อยละ 10)

มูลค่าปัจจุบัน (NPV)

94.99 ล้านบาท

อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์

[Economic Internal Rate of Return : EIRR]

ร้อยละ 10.56

อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนทางเศรษฐกิจ

(B/C Ratio)

1.05 เท่า

 

7. เงินลงทุน/แผนการเบิกจ่ายเงิน

วงเงินลงทุนรวม 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน 1,875 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 625 ล้านบาท โดยมีแผนการเบิกจ่ายเงินสรุปได้ ดังนี้

หน่วย : ล้านบาท

รายการ

ปีงบประมาณ

รวม

2568

2569

2570

2571

2572

เงินกู้ในประเทศ

26

438

365

523

523

1,875

เงินรายได้ กฟภ.

10

145

120

175

175

625

รวมทั้งสิ้น

36

583

485

698

698

2,500

 

8.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

(1) ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต้นทุนด้านพลังงาน เนื่องจากเกษตรกรสามารถใช้มอเตอร์สูบน้ำเพื่อกิจกรรมทางการเกษตรแทนเครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน

(2) ช่วยประหยัดแรงงานที่ใช้ในการสูบน้ำและดูแลกิจกรรมทางการเกษตร โดยสามารถลดแรงงานและเวลาในการติดตั้งและการดูแลบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ทำให้เกษตรกรมีเวลามากขึ้นในการดูแลกิจกรรมทางการเกษตร

(3) ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรให้มีรายได้จากการทำเกษตรและการจ้างงาน ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดอัตราการโยกย้ายเข้าสู่ตัวเมือง

(4) ช่วยลดมลพิษในด้านต่าง ๆ เช่น มลพิษทางด้านเสียง มลพิษจากควันเสีย และมลพิษจากคราบน้ำมันที่เกิดจากสิ่งตกค้างของเครื่องยนต์

(5) ช่วยให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่จากรัฐบาล

                   ทั้งนี้ คณะกรรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในคราวประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 มีมติเห็นชอบโครงการขยายเขตไฟฟ้าฯ ระยะที่ 3 แล้ว

 

9. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2529/33 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B12/27

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และคณะ ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2529/33 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B12/27 ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2571 - 14 มกราคม 2581 ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้เสนอขออนุมัติให้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจ
และผลิต จำกัด และคณะ ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2529/33 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B12/27 ได้รับการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมออกไป อีก 10 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม2571 ถึงวันที่                  14 มกราคม 2581 เนื่องจากระยะเวลาผลิตเดิมจะสิ้นสุดลงในวันที่ 14 มกราคม 2571 ซึ่งการดำเนินการนี้เป็นไป ตามบทบัญญัติของ มาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ที่กำหนดให้สามารถต่อระยะเวลาได้เพียงครั้งเดียวไม่เกินสิบปี โดยการต่อระยะเวลาผลิตนี้ถือเป็นสิทธิตามกฎหมายและสัญญาสัมปทานที่ผู้รับสัมปทานพึงได้รับเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วนประกอบกับจะช่วยสร้างความมั่นใจในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองประมาณ 660 พันล้านลูกบาศก์ฟุต และจะช่วยลดการพึ่งพิงการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ รวมทั้งทำให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้จากผลประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม คิดเป็น มูลค่ารวม 425,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เช่น เงินโบนัสการผลิตรายปี เงินโบนัสการลงนามและข้อผูกพันด้านการสำรวจ การพัฒนาเทคนิค และเงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาอื่นๆ

 

 

10.  เรื่อง รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) จำนวน 48 ราย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   เนื่องจากได้มีการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. ของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 10 รายได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ  ปิยะทัต) และแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. ของส่วนราชการ จำนวน 38 ราย ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม  กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

 

11.  เรื่อง มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ โดยมอบหมายกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กำหนดหลักเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานตามกรอบที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. อุตสาหกรรมภาพยนตร์และสาระบันเทิงรูปแบบอื่น (Content) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างสูงภายใต้นโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่าง ๆ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้รับการยกระดับ
เป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เรือธง (Flagship) ประกอบกับศักยภาพในการผลิตภาพยนตร์ของผู้ประกอบการไทยทำให้ตลาดภาพยนตร์ไทยกลับมาเป็นกระแสนิยมโดยในปี 2567 ภาพยนตร์ไทยมีส่วนแบ่งการตลาด
ในประเทศนำหน้าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดของสหรัฐอเมริกา โดยภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 54 ของส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ศักยภาพในการแข่งขันของภาพยนตร์ไทยกับภาพยนตร์ต่างชาติ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจหลายระดับ โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการจ้างงานรวมกว่า 45,035 ตำแหน่ง
ในส่วนของรายได้พบว่าในปี 2566 อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีรายได้รวมกว่า 77,635 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ดังนั้น การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจึงเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อสร้างแต้มต่อและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยให้สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานระดับสากล รวมทั้งการส่งออกภาพยนตร์ไทยจะเป็นการสร้างผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ

                   2. ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศโดยสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดทำข้อเสนอแนะ กลไก กระบวนการ และแนวทางการพิจารณาสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ไทยแล้ว และคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 มอบหมายให้ วธ. ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการเงินคืนตามแนวทางที่สำนักงาน ป.ย.ป. นำเสนอต่อไป ทั้งนี้ วธ. โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้จัดทำมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ และได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้ว จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติพิจารณาโดยในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศและมอบหมายให้ วธ. เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

 

หัวข้อ

สาระสำคัญ

วัตถุประสงค์

- เพื่อส่งเสริมการผลิต ยกระดับมาตรฐาน คุณภาพ และความหลากหลาย
ของภาพยนตร์ไทย

- เพื่อส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

- เพื่อส่งเสริมการส่งออกทุนทางวัฒนธรรมผ่านสื่อบันเทิงอย่างภาพยนตร์ไทย

คำนิยาม

- ภาพยนตร์ หมายความว่า ผลงานภาพเคลื่อนไหว ที่มีเสียงและการเล่าเรื่องราวความยาวประมาณ ไม่น้อยกว่า 90 นาที จัดทำเพื่อการเผยแพร่
ในโรงภาพยนตร์หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในฐานะผลงานเดี่ยวหนึ่งเรื่อง

- แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หมายความว่า การให้บริการเผยแพร่หรือส่งผ่านเนื้อหาประเภทต่าง ๆ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงได้โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โดยอาจเป็นข้อความ ภาพ เสียงภาพเคลื่อนไหวและอาจให้บริการในลักษณะการรับชม การรับฟัง หรือการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์หรือแบบตามความต้องการของผู้ใช้บริการ

- ละครและซีรีส์ หมายความว่า ผลงานภาพเคลื่อนไหว ที่มีเสียงและการเล่าเรื่องราว จัดทำเป็นตอนต่อเนื่อง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมีจำนวนตอน ไม่น้อยกว่า 8 ตอน แต่ละตอนมีความยาวไม่น้อยกว่า 45 นาที

- มิวสิกวิดีโอ หมายความว่า สิ่งบันทึกภาพ วีดิทัศน์ โสตทัศนวัสดุ รวมถึงงานศิลปกรรม ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อเพลง ภาพเคลื่อนไหว และ/หรือภาพนิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพลงการแสดงดนตรี การขับร้องเพลง เพื่อการนำเสนอผลงานเพลงของศิลปิน โดยมีความยาวไม่น้อยกว่า 3 นาทีต่อเพลง
และมีจำนวนเพลงไม่น้อยกว่า 3 เพลง ต่ออัลบั้ม

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ

ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์

- นิติบุคคลหรือผู้ถือหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย
และกรรมการ
หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคลไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย

- นิติบุคคลเปิดกิจการมาไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีหลักฐานการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลภาษีมูลค่าเพิ่ม และงบการเงินที่รับรองโดยผู้สอบบัญชีอนุญาต

- นิติบุคคลผู้ยื่นคำขอต้องเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ซึ่งมีสัญชาติไทยหรือเป็นผู้ได้รับสิทธิใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จากเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย

- เป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการด้านภาพยนตร์ หรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ระบุไว้ในหนังสือรับรอง
การจดทะเบียนของบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานภาครัฐ
ที่เกี่ยวข้อง

- นิติบุคคลมีสำนักงานหลักหรือสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย
โดยเป็นสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ประสานงานที่สามารถติดต่อได้

- นิติบุคคลเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อเรื่องตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป

สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

- สิทธิประโยชน์หลัก : ได้รับเงินสนับสนุน ร้อยละ 15 ของค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่อง ที่มีวงเงินตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป

- สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม :

     (1) กรณีภาพยนตร์มีการนำเสนอเรื่องราวหรือเนื้อหาที่สร้างสรรค์ในประเด็นตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศกำหนดสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ร้อยละ 5

     (2) กรณีภาพยนตร์มีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่องตั้งแต่ 40 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 50 ล้านบาท สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ร้อยละ 2.5 หรือมีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อเรื่องตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ร้อยละ 5

     (3) กรณีภาพยนตร์ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศหรือฉายในช่องโทรทัศน์ต่างประเทศไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ หรือฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง 1 แพลตฟอร์ม โดยแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต้องมีการฉายในต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ โดยอย่างน้อยหนึ่งประเทศ ต้องอยู่นอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ร้อยละ 5

เงื่อนไขของมาตรการ

- มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศเป็นมาตรการ
ที่กำหนดภายใต้รัฐบาลไทย โดยคณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศตรวจเอกสาร
และหลักฐานการเงินแล้ว ว่าถูกต้องตามระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนด
โดยมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทย ตั้งแต่ 15 ล้านบาท ขึ้นไปต่อเรื่อง

- โครงการสร้างภาพยนตร์ที่เสนอขอรับการสนับสนุนต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือมีข้อพิพาทกับผู้อื่น

- ค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาคำนวณเงินสนับสนุนได้ ได้แก่ค่าใช้จ่ายก่อนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าใช้จ่ายหลังการผลิต โดยไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ และการทำการตลาด

- ค่าใช้จ่ายนอกประเทศไทย ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าของขวัญ ค่ากิจกรรมสันทนาการหรือเงินรางวัลไม่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการคำนวณเงินสนับสนุนได้

- กรณีภาพยนตร์ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการอื่นใดของภาครัฐไทยไม่สามารถขอรับการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศได้

- ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ฯ ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ วธ. กำหนด

- ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ได้ ประกอบด้วย ภาพยนตร์ไทย ละครและซีรีส์ไทย และมิวสิกวิดีโอไทย

- ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นอันยกเลิก

     (1) กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนไม่สามารถถ่ายทำภาพยนตร์หรือยื่นเอกสารหลักฐานตามระยะเวลาที่กำหนด

     (2) กรณีการถ่ายทำภาพยนตร์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนมีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายไทย บิดเบือน หรือลดทอนภาพลักษณ์ของประเทศไทยหรือสถาบันหลักของชาติ

วิธีการดำเนินการ

- ขั้นตอนการดำเนินการยื่นความประสงค์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุน

     (1) ผู้มีสิทธิยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม ของทุกปี และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายนของทุกปี

     (2) คณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศพิจารณาอนุมัติเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุน
ภายใน 60 วัน นับแต่วันยื่นคำขอและมีคุณสมบัติครบถ้วน

    (3)  ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนต้องดำเนินการผลิตภาพยนตร์ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับแต่ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุน

-  ขั้นตอนการดำเนินการขอรับเงินสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ

     (1) เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการผลิตภาพยนตร์เสร็จสิ้นจะต้องยื่นเอกสารหลักฐานในการขอเงินสนับสนุนต่อคณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผลิตภาพยนตร์เสร็จสิ้นตามระยะเวลา
ที่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ภาพยนตร์ที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ได้ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ วธ. กำหนด

     (2) ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบเอกสารหลักฐานภายใน 90 วัน
นับถัดจากวันที่ได้รับเอกสาร

     (3) คณะกรรมการพิจารณาเงินสนับสนุนสำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศพิจารณาเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งหมดเพื่ออนุมัติการคืนเงินตามมาตรการฯ ภายใน 60 วัน
นับจากวันที่ได้รับเอกสาร

     (4) ดำเนินการคืนเงินให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุน

     (5) ผู้มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนที่ประสงค์ขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมต้องยื่นหลักฐานภายใน 3 ปี นับแต่วันได้รับอนุมัติเงินสนับสนุน

ประมาณการรายจ่ายและแหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ

ขอรับการจัดสรรต่อปี ประมาณปีละ 1,500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ

พ.ศ. 2569 จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินประมาณ 400 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป
จะขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
วงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท ต่อปี

                   3. การดำเนินมาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องมีการเตรียมการด้านต่าง ๆ เช่น การจัดทำประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการฯ การเตรียมการเปิดรับลงทะเบียนการประชาสัมพันธ์ รายละเอียดมาตรการผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วธ. กำหนดจะออกประกาศหลักเกณฑ์ฯ ภายในปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนการผลิตในปีถัดไปของภาคอุตสาหกรรม

                   4. ประโยชน์ : มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ จัดทำขึ้นเพื่อช่วยรักษาระดับการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และคอนเทนต์ไทย และคงปริมาณการผลิตภาพยนตร์และการจ้างงานในอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้เกิดการผลิตผ่านการให้เงินสนับสนุนจะทำให้ภาพยนตร์ไทยได้รับการยกระดับการผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้น มีจำนวนภาพยนตร์ไทย ที่มีทุนสร้างสูงในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ภาพยนตร์ไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินมาตรการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 4,600 ล้านบาท ต่อปี

                   ทั้งนี้ วธ. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติใน มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว

 

12.  เรื่อง การสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership: OGP) ของประเทศไทย

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้

                   1. รับทราบผลการประเมินการเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership: OGP) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2568

                   2. เห็นชอบแผนการดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ของประเทศไทย พร้อมทั้งประเด็นนโยบายที่สำคัญ (Policy Areas) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสำหรับการจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติ  (National Action Plan: NAP) (แผน NAP) ในขั้นตอนที่ 5

                   3. เห็นชอบการแต่งตั้งผู้ที่จะทำหน้าที่ผู้ประสานงาน 2 ระดับหลัก ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง และผู้บริหารระดับสูงฝ่ายข้าราชการพลเรือน (เนื่องจากประเทศไทยได้ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณสมบัติเบื้องต้นในการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP แล้ว จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ประสานงาน
2 ระดับหลัก และการยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP  เพื่อให้ประเทศไทยได้รับการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP อย่างเป็นทางการภายในเดือนธันวาคม 2568)

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   ความร่วมมือภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership : OGP) เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 เพื่อส่งเสริมให้รัฐบาลทั่วโลกพัฒนาระบบการบริหารงานที่เปิดกว้าง โปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อสาธารณะมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก จำนวน 75 ประเทศ เช่น บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ หลักการของ OGP

ตั้งอยู่บนแนวคิดการเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ (1) ความโปร่งใส (Transparency) เพื่อให้ข้อมูลภาครัฐได้รับการเปิดเผยและเข้าถึงได้ (2) ความรับผิดชอบ (Accountability) เพื่อให้ระบบราชการตรวจสอบได้และประชาชนมีสิทธิเรียกร้องต่อผลการดำเนินงานของรัฐ
และ (3) การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) เพื่อให้ประชาชน ภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทในกระบวนการนโยบาย ทำให้หลักการทั้ง 3 ประการ เป็นรากฐานของการดำเนินงานภายใต้ OGP และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ประเทศสมาชิกต้องยึดถือ

                   สำหรับประเทศไทย เมื่อ OGP ประกาศรับรองการเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว ประเทศไทยจะต้องดำเนินงานตามข้อผูกพันที่กำหนดไว้ภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว พร้อมทั้งจะได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิก ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้

                    1. ข้อผูกพันสำคัญที่ต้องดำเนินการตามกรอบ OGP

                             (1.) การจัดตั้งคณะทำงานแบบพหุภาคี (Multistakeholder Forum: MSF) เป็นกลไกสำคัญที่ประเทศสมาชิก OGP ต้องจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่หารืออย่างเป็นทางการระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมในการกำหนดทิศทางและติดตามการดำเนินงานด้านรัฐบาลเปิด โดยเวทีดังกล่าวต้องเปิดกว้าง โปร่งใส และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน ทั้งการออกแบบแผนปฏิบัติการ การติดตามความก้าวหน้า และการเผยแพร่ข้อมูล
สู่สาธารณะ เพื่อให้การดำเนินงานด้านรัฐบาลเปิดเกิดผลจริงและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

                             (2) การจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติ (National Action Plan: NAP) (แผน NAP) ซึ่งถือเป็นหัวใจของการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP โดยแผนนี้จะต้องจัดขึ้นโดยผ่านกระบวนการร่วม (co-creation) ระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาสังคม เพื่อกำหนดคำมั่นที่มีความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ ซึ่งประเทศสมาชิกต้องยื่นแผน NAP ภายในกรอบเวลาของ OGP โดยสามารถเลือกใช้รอบเวลา 2 ปี หรือ 4 ปี

                             (3) การชำระเงินสนับสนุนประจำปีในฐานะประเทศสมาชิก OGP กำหนดให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมด้านงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กร โดยเงินสมทบดังกล่าวเป็นรายได้สำคัญที่ใช้สำหรับบริการหลัก เช่น การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างประเทศ ทั้งนี้ โครงสร้างเงินสมทบถูกปรับให้สอดคล้องกับระดับรายได้และขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ เพื่อให้เป็นธรรมและยั่งยืนต่อความร่วมมือ

                             (4) อำนวยความสะดวกกระบวนการกลไกการติดตามและประเมินผลอิสระ (Independent Reporting Mechanism: IRM) เช่น การช่วยนักวิจัย IRM ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลประกอบการประเมินผลการดำเนินงาน

                   2. ประโยชน์ของการเข้าร่วม OGP

                             (1) IRM จะเป็นกลไกประเมินผลแบบมีหลายภาคส่วน (multistakeholder assessment) ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ ในการทบทวนขั้นตอนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม (CSO engagement) และผลการดำเนินงานตามพันธกรณีของไทย อีกทั้งข้อมูลนี้ยังสามารถให้ประกอบการทบทวนพันธกรณีระหว่างประเทศอื่น ๆ  เช่น  สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC)

                             (2) OGP เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงการปฏิรูประดับชาติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขอเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for  Economic Co-operation and Development: OECD) ได้อย่างมีเอกภาพ อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และพันธมิตรระหว่างประเทศ รวมถึง OECD ร่วมดำเนินการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับการประเมินผลการดำเนินงานโดยกลไก IRM ซึ่งช่วยยกระดับความโปร่งใสและเสริมสร้าง
ความเชื่อมั่นของประชาคมระหว่างประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (4 ธันวาคม 2561) มอบหมายให้สำนักงาน  ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายภาครัฐระบบเปิด (Open Government Partnership: OGP) โดยหลักเกณฑ์การประเมินการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP จะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินเบื้องต้น 2 หลักเกณฑ์ ได้แก่

(1) เกณฑ์คุณสมบัติ (Eligibity) ประกอบด้วย ตัวชี้วัดความโปร่งใสทางการเงิน การเข้าถึงข้อมูล การเปิดเผยทรัพย์สินเจ้าหน้าที่รัฐ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งต้องได้คะแนนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และ (2) เกณฑ์ค่านิยม (Value Check) ประกอบด้วย ตัวชี้วัดการยอมให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมและการต่อต้านภาคประชาสังคม ซึ่งต้องได้อย่างน้อย 3 คะแนน จากตัวชี้วัดใดตัวชี้วัดหนึ่ง ในการนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้ผลักดันการยกระดับความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 ผ่านการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ การออกและผลักดันกฎหมายด้านสิทธิและสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาสังคม และการใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างภาครัฐระบบเปิด จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2568 องค์กร OGP ได้ประกาศว่าประเทศไทยได้ผ่านเกณฑ์การประเงินคุณสมบัติเบื้องต้นสำหรับการเป็นสมาชิก OGP ทั้ง 2 หลักเกณฑ์แล้ว ส่งผลให้ประเทศไทยมีสิทธิสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ได้

                   3. คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ดังนี้

                             3.1 รับทราบผลการประเมินการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ของประเทศไทย ประจำปี                พ.ศ. 2568

                             3.2 เห็นชอบแผนการดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ของประเทศไทย พร้อมทั้งประเด็นนโยบายที่สำคัญ (Policy Areas) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดทำแผน NAP ทั้งนี้ สามารถสรุปแผนการดำเนินการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก OGP ของประเทศไทยได้ ดังนี้

 

 

       กิจกรรม

 

ระยะเวลาดำเนินการ ปีงบประมาณ 2569

ต.ค.

พ.ย.

ธ.ค.

ม.ค.

ก.พ.

มี.ค.

เม.ย.

พ.ย.

มิ.ย.

ก.ค.

ส.ค.

ก.ย.

การดำเนินการก่อนที่ OGP จะพิจารณาและประกาศให้ประเทศไทยเป็นสมาชิก OGP อย่างเป็นทางการ

ขั้นตอนที่ 1 เสนอคณะรัฐมนตรี

พิจารณาเห็นชอบผู้ประสานงาน

2 ระดับหลัก ได้แก่

(1) ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง

(2) ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายข้าราชการพลเรือน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 2 รัฐบาลไทยส่งจดหมายแสดงเจตจำนง (Letter of Intent)  ไปยังสำนักงานเลขาธิการ OGP

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การดำเนินการก่อนที่ OGP จะพิจารณาและประกาศให้ประเทศไทยเป็นสมาชิก OGP อย่างเป็นทางการ

ขั้นตอนที่ 3 OGP ประกาศการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 4 OGP เข้าพบหารือ

(Country Visit)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 5 จัดทำแผน NAP

ร่วมกับภาคีเครือข่าย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 6 ประชุมรับฟัง

ความคิดเห็นต่อแผน NAP

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 7 เสนอคณะรัฐมนตรี

พิจารณาแผน NAP

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขั้นตอนที่ 8 เสนอแผน NAP

ฉบับสมบูรณ์เป็นภาษาอังกฤษ

และภาษาไทยไปยัง OGP

Secretariat พิจารณา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                             3.3 เห็นชอบการแต่งตั้งผู้ที่จะทำหน้าที่ผู้ประสานงาน 2 ระดับหลัก ได้แก่ (1) ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง คือ รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ก.พ.ร. หรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีกำหนดเป็นรองประธาน ก.พ.ร. และ (2) ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายข้าราชการพลเรือน คือ เลขาธิการ ก.พ.ร. กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) พิจารณาแล้ว เห็นควรรับทราบ/ไม่ขัดข้อง/เห็นด้วย

 

13.  เรื่อง  ข้อเสนอแนะกรณีการรื้อหรือปรับปรุงฝายพญาคำ  ฝายหนองผึ้ง  และฝายท่าวังตาล (แม่น้ำปิง) จังหวัดเชียงใหม่

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะกรณีการรื้อหรือปรับปรุงฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้งและฝายท่าวังตาล (แม่น้ำปิง) จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงคมนาคมสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม  แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (11 มีนาคม 2568) เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (แม่น้ำปิง และแม่น้ำกก)  ระยะเร่งด่วน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม ซึ่งรวมถึงการดำเนินโครงการรื้อฝายเก่า จำนวน 3 แห่ง (ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล)งบประมาณจำนวน 13.8 ล้านบาท ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า โครงการรื้อฝายเก่า 3 แห่ง ดังกล่าวที่มีอายุกว่า 700 ปี ขาดการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียและจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับระบบเหมืองฝาย ซึ่งการรื้อหรือปรับปรุงฝาย โดยปราศจากข้อมูลสนับสนุนในทุกมิติจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐภาคประชาสังคม ภาควิชาการ  กลุ่มผู้ใช้น้ำ และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและจากการรื้อฝาย อาจละเมิดสิทธิของประชาชนและชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนโครงการรื้อฝ่ายเก่าทั้ง 3 แห่ง ตามแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (แม่น้ำปิง) ระยะเร่งด่วน โดยมอบหมายให้จังหวัดเชียงใหม่จัดตั้งคณะทำงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชิงระบบในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และพิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากการรื้อหรือปรับปรุงฝ่ายทั้ง 3 แห่ง รวมถึงมอบหมายกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการรุกล้ำลำน้ำปิงที่เป็นสาเหตุสำคัญของน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 2560 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (3) ประกอบมาตรา 42 จึงเข้าข่ายลักษณะเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1)

 

14.. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของ ทอท. ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และ ให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยให้ กค. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวมแล้วส่งให้ สลค. ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ขอให้นำข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับ คู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตจากการดำเนินกิจการ โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะกรณีการแก้ไขสัญญาต่าง ๆ ที่เป็นการเอื้อประโยชน์จนส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังและผลประโยชน์ของรัฐ โดยมีข้อเสนอ เช่น (1) ข้อเสนอด้านนโยบาย เช่น ควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาศึกษา วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสียของการกำกับดูแลกิจการ/โครงการ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ควรกำหนดให้มีหน่วยงานหรือคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการ ที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับการดำเนินโครงการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพ.ศ. 2562
(2) ข้อเสนอด้านการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ เช่น สคร. ควรกำกับติดตามและเร่งรัดให้ ทอท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 [เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ ทอท.] (3) ข้อเสนอด้านการบริหาร จัดการโครงการและการบริหารสัญญาของหน่วยงานของรัฐ เช่น การกำหนดนโยบาย มาตรการหรือแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาจะต้องพิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญาที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับหรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย กรณีที่คู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หรือเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ หน่วยงานเจ้าของโครงการและคู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทาน ต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็น และความเหมาะสม ตลอดจนคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะอย่างเคร่งครัด ก่อนที่จะมีการแก้ไขสัญญาหรือดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

15.  เรื่อง  มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

                   2. เห็นชอบการแยกบัญชีมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้เป็นบัญชี PSA เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการกำกับดูแล การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินการของ SFls ในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐ เพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น  และเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552

                   3. มอบหมายกระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย

รัฐวิสาหกิจ และคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ สาขาสถาบันการเงิน (SubPac)) พิจารณาในประเด็นการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลของ SFIs  ในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

                   4. มอบหมายให้กระทรวงการคลังประสาน ธปท. พิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ใช่ลูกหนี้ของ SFls  ที่ประสบอุทกภัยให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป

                   สาระสำคัญ

                   มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ มีรายละเอียด ดังนี้

                   1. โครงการช่วยเหลือฯ

                             1.1 วัตถุประสงค์: เพื่อลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของ SFls ที่ได้รับผลกระทบ

จากอุทกภัย และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้ SFls เพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้สามารถกลับมาดำเนินชีวิต

ได้ตามปกติโดยเร็ว

                             1.2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ:

                                      1) บัญชีลูกหนี้ที่ไม่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-PerformingLoans: NPLs)

                                      2) บัญชีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

                             1.3 ระยะเวลารับคำขอเข้าร่วมโครงการ: ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตามโครงการยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 มกราคม 2569

                             1.4 วิธีการดำเนินโครงการ: ลูกหนี้ได้รับการพักชำระเงินและดอกเบี้ยเป็นเวลา 12 เดือน  โดย SFls ยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาการพักชำระหนี้  (คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี) และให้ความช่วยเหลือรายละไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อ SFls ทั้งนี้ หากลูกหนี้มีสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1,000,000 บาท SFIs พิจารณาช่วยเหลืออย่างน้อยรายละ 1,000,000 บาท

                             1.5 เงื่อนไขอื่น ๆ:

                                      1) ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือฯ สามารถคงชั้นหนี้เดิมได้ตลอดระยะเวลาการพักชำระหนี้

                                      2) ลูกหนี้ที่ได้เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามมาตรการอุทกภัยอื่น ๆ ของ SFls แล้ว สามารถเปลี่ยนมาใช้โครงการช่วยเหลือฯ ได้

                                      3) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นเป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             1.6 การขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลของ SFIs:

                                      1) ขอแยกบัญชีโครงการช่วยเหลือฯ เป็นบัญชี PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล

                                      2) ขอนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการช่วยเหลือฯ มาปรับตัวชี้วัดทางการเงินตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ

                                      3) ให้สามารถนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการช่วยเหลือฯ ที่เกิดขึ้นจริงมาบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้

                   2. โครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ

                             2.1 วัตถุประสงค์: เพื่อให้ลูกหนี้เดิมมีสภาพคล่องฉุกเฉินในการดำรงชีพหรือใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ หรือใช้เป็นเงินทุนในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ 

                             2.2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ:

                                      1) บัญชีลูกหนี้ที่ไม่มีสถานะเป็น NPLS

                                      2) มีภูมิลำเนาหรือสถานประกอบการหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศ ปภ. และมีหลักฐานว่าได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

                             2.3 วิธีการดำเนินโครงการ: SFls สนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมให้ลูกหนี้เดิมภายใต้วงเงินกู้เดิมกับ SFls  

                             2.4 วงเงินสินเชื่อต่อราย: ไม่เกิน 100,000 บาท

                             2.5 ระยะเวลากู้: เป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             2.6 ระยะเวลารับคำขอเข้าร่วมโครงการ: ลูกหนี้เดิมที่มีคุณสมบัติตามโครงการยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569

                             2.7 อัตราดอกเบี้ย:

                                      ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี

                                      ปีที่ 2 เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             2.8 เงื่อนไขอื่น ๆ:

                                      1) ลูกหนี้เดิมที่ได้เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามมาตรการอุทกภัยอื่น ๆ ของ SFIs แล้ว สามารถเปลี่ยนมาใช้โครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ ได้

                                      2) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นเป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             2.9 การขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลของ SFIs:

                                      1) ขอแยกบัญชีโครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ เป็นบัญชี PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล

                                      2) ขอนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ มาปรับตัวชี้วัดทางการเงินตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ

                                      3) ให้สามารถนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ ที่เกิดขึ้นจริงมาบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้

                             3. โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ

                                      3.1 วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยมีเงินทุน เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย หรือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ

                                      3.2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ:

                                                1) ไม่มีสถานะเป็นหนี้ NPLs

                                                2) มีภูมิลำเนาหรือสถานประกอบการหรืออาศัยอยู่ในพื้นพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามประกาศ ปภ. และมีหลักฐานว่าได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

                                      3.3 วิธีการดำเนินโครงการ: SFIs สนับสนุนสินเชื่อเพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยมีเงินทุนเพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย หรือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ

                             3.4 วงเงินสินเชื่อต่อราย: ไม่เกิน 1,000,000 บาท

                             3.5 ระยะเวลากู้: เป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             3.6 ระยะเวลารับคำขอเข้าร่วมโครงการ : ผู้ประสบอุทกภัยที่มีคุณสมบัติตามโครงการยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2569

                             3.7 อัตราดอกเบี้ย:

                                      ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี

                                      ปีที่ 2 เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             3.8 เงื่อนไขอื่น ๆ:

                                      1) ผู้ประสบอุทกภัยที่ได้เข้าร่วมมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามมาตรการอุทกภัยอื่น ๆ ของ SFIs แล้ว สามารถเปลี่ยนมาใช้โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ ได้

                                      2) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นเป็นไปตามที่ SFIs กำหนด

                             3.9 การขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลของ SFIs:

                                      1) ขอแยกบัญชีโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ เป็นบัญชี PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล

                                      2) ขอนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ มาปรับตัวชี้วัดทางการเงินตามบันทึกข้อตกลงการประเมินและการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ

                                      3) ให้สามารถนำผลกระทบจากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ ที่เกิดขึ้นจริงมาบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้

                   ทั้งนี้ SFIs อาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมทั้งในส่วนของการพักชำระหนี้ หรือการสนับสนุนสินเชื่อได้ตามความเหมาะสมภายใต้เงื่อนไขที่ SFIs กำหนด

                   อนึ่ง สำหรับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และผู้ให้บริการทางการเงินที่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมาย

ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ของ ธพ. และ Non-Bank ที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับแนวทางให้ความช่วยเหลือของ SFIs โดย ธปท. อาจหารือกับกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FinancialInstitutions Development Fund: FIDF) ต่อไป

                   4. ประโยชน์และผลกระทบ

                   มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้สามารถให้ความช่วยเหลือและเยียวยาแก่ประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยตามประกาศ ปภ. ในด้านการเงิน ทั้งการพักชำระหนี้และการสนับสนุนสินเชื่อ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

 

16.  เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักเกณฑ์และกรอบอัตราค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา

                      คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

                    1. เห็นชอบกรอบอัตราค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา รายละ 2 ล้านบาท ตามที่ มท. เสนอ และให้ มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ฯ ให้ชัดเจน ถูกต้อง เหมาะสม ก่อนดำเนินการต่อไป

                   2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 110,000,000 บาท เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                  เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ มีความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างรุนแรง ประกอบกับนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 10/2568 เรื่อง ยกระดับการจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 กำหนดให้พื้นที่จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) และจัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอขอค่าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยดังกล่าว เป็นกรณีพิเศษ ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อให้ความช่วยเหลือในอัตรารายละ 2,000,000 บาท โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินดังกล่าว

 

17.  เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองหลังวิกฤตน้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่และบริเวณโดยรอบ ภายในวงเงิน 530,000,000 บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

          1. ด้วยเกิดสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นสาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบร้ายแรง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจอย่างมหาศาลเป็นสาธารณภัยที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ยุติลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องบูรณาการและระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อเข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 10/2568 เรื่อง ยกระดับการจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550

                   2. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้รับแจ้งจากจังหวัดสงขลาว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากกรณีภัยพิบัติเหตุอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา จำนวน 3 โครงการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น 920,655,000 บาท เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัย

                   3. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีหนังสือถึงสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองหลังวิกฤตน้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่และบริเวณโดยรอบ ภายในกรอบวงเงิน 530,000,000 บาท ตามความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

                   ประโยชน์และผลกระทบ: ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาที่ประสบปัญหาอุทกภัยรุนแรง ได้รับความช่วยเหลือในการฟื้นฟูความเสียหาย และแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร่งด่วน

 

18. เรื่อง รายงานผลการให้ความร่วมมือจัดการภัยพิบัติทางด้านอุทกภัย

                   คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการให้ความร่วมมือจัดการภัยพิบัติทางด้านอุทกภัยตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกรมอุตุนิยมวิทยา เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกรมอุตุนิยมวิทยาตระหนักถึงความจำเป็นในการยกระดับขีดความสามารถในการพยากรณ์อากาศให้มีความแม่นยำและความครอบคลุมสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง การบูรณาการข้อมูลจากดาวเทียมและแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI Model) ขั้นสูง จะช่วยเติมเต็มข้อจำกัดของระบบเรดาร์ตรวจอากาศในปัจจุบัน เช่น บริเวณพื้นที่ภูเขาสูง ทำให้การคาคการณ์ปริมาณฝนตกหนักและภัยพิบัติน้ำป่าไหลหลากมีความแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยยกระดับการเฝ้าระวังทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและทะเลฝั่งอันดามัน เพื่อการพยากรณ์พายุเขตร้อนและมรสุมที่แม่นยำยิ่งขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อความปลอดภัยในการเดินเรือและประมง ทั้งยังขยายขอบเขตการติดตามการก่อตัวของระบบอากาศนอกพรมแดนประเทศเพื่อเพิ่มระยะเวลาเตรียมการรับมือภัยพิบัติ การผสานเทคโนโลยีนี้กับแบบจำลองปัจจุบันของกรมอุตุนิยมวิทยา จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ได้ถึงร้อยละ 20 - 30 และระบบจะมีการติดตั้ง AI Chatbot เพื่อให้บริการพยากรณ์อากาศเชิงจุลภาคในรัศมี 3 ตารางกิโลเมตร แก่สาธารณชนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และแปลงข้อมูลสภาพอากาศให้เป็นแนวทางการกระทำเชิงปฏิบัติ (Actionable Weather Intelligence) โดยตรง เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของเกษตรกร หน่วยงานป้องกันภัย และประชาชนทั่วไป นำไปสู่การเสริมศักยภาพในการป้องกันอุทกภัย การเกษตรที่ยั่งยืน และการยกระดับบทบาทของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านภูมิอากาศของภูมิภาค

                   2. จากการหารือเบื้องต้นร่วมกับ บริษัท บีพีแอลซี จำกัด เป็นผู้แทนของ Tomorrow.ioประจำประเทศไทย ซึ่งได้ข้อสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้ความร่วมมือทางด้านข้อมูล ดังนี้

                             2.1 เพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ในพื้นที่ภูเขาทางภาคเหนือ ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยครอบคลุมพื้นที่เป็นจุดบอดของเรดาร์ตรวจอากาศ และสามารถคาดการณ์ฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลาก (Flash Floods) ได้แม่นยำขึ้น พร้อมทั้งประเมินระดับน้ำสะสมในพื้นที่เสี่ยง เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชุมชน

                             2.2 ยกระดับการพยากรณ์อากาศในมหาสมุทร ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการติดตามสภาพอากาศเหนืออ่าวไทยและทะเลอันดามัน ข้อมูลจากดาวเทียมจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวังข้อมูลสภาพอากาศจากทางทะเลได้อย่างต่อเนื่อง สามารถพยากรณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งพายุเขตร้อน มรสุม และสภาพอากาศที่กระทบการเดินเรือและประมง รวมถึงการเฝ้าระวังสภาพภูมิอากาศ

                             2.3 ขยายขอบเขตการพยากรณ์ไปนอกเหนือพรมแดนประเทศไทย ระบบสามารถติดตามการก่อตัวของกลุ่มเมฆและพายุจากประเทศเพื่อนบ้านและมหาสมุทรรอบข้างได้ล่วงหน้า ทำให้มีความพร้อมในการเตรียมการรับมือภัยพิบัติฝนตกหนักและพายุมากยิ่งขึ้น

                             2.4 การบูรณาการกับแบบจำลองของกรมอุตุนิยมวิทยา แบบจำลอง AI สามารถเชื่อมต่อกับแบบจำลองที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้อยู่ในปัจจุบัน ทำให้การพยากรณ์มีความแม่นยำสูงขึ้นและคาดการณ์สภาพอากาศแนวตั้งได้ละเอียดกว่าเดิม

                             2.5 การสื่อสารกับประชาชนด้วย AI Chatbot โดยการติดตั้ง AI Chatbotบนเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา ประชาชนสามารถสอบถามพยากรณ์อากาศเฉพาะพื้นที่ ได้แบบภาษาที่เข้าใจง่ายช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลสภาพอากาศเพื่อการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

 

19. เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ) เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. จากการติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบันพบว่าภัยพิบัติได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก โดยในปี พ.ศ. 2565 มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้น จำนวน 399 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 86,473 ราย ส่งผลกระทบต่อผู้คน 93.1 ล้านราย และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้รับความสูญเสียจากภัยพิบัติธรรมชาติและมีความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท

                   2. ในการประชุม คสช. ครั้งที่1/2568 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ซึ่งมุ่งเน้นการกระจายอำนาจในการจัดการภัยพิบัติให้กับชุมชนและท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคท้องถิ่น ภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและท้องถิ่นในการจัดการตนเองเพื่อการจัดการภัยพิบัติ สนับสนุนให้เกิดกองทุนท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ มีการบูรณาการข้อมูล จัดทำและบูรณาการแผนการดำเนินงาน ที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่กิจกรรม ทั้งระยะการป้องกันเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติการเผชิญเหตุและตอบโต้ขณะเกิดภัย และการฟื้นฟู โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

                             2.1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทบทวนแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หรือให้มีกฎกระทรวง ประกาศกระทรวงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลไกและบทบาทในการเตรียมการป้องกัน และการจัดการสาธารณภัยของชุมชนและท้องถิ่น และเพิ่มประเด็นการกัดเซาะชายฝั่งให้เป็นภัยพิบัติ

                             2.2 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สภาองค์กรชุมชน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่สนับสนุนให้เกิดแผนแม่บทการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งผลักดันให้เกิดกลไก แผนปฏิบัติการ และงบประมาณตามแผนแม่บทที่กำหนดขึ้น

                             2.3 แต่งตั้งคณะทำงานที่มีผู้แทนจากชุมชนและท้องถิ่นให้มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนแผนแม่บท และบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยในระดับจังหวัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง หรือระดับอำเภอให้นายอำเภอลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน

                             2.4 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนากองทุนการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง และจัดตั้งกลไกการประสานเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและช่วยเหลือจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และฟื้นฟูภายหลังประสบภัยพิบัติ โดยอาจจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่หรือเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนที่มีอยู่แล้วในชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสมทบกองทุนภัยพิบัติที่ชุมชนท้องถิ่น ริเริ่มดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

                                      2.4.1 การจัดตั้งกองทุนในระดับชาติ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. เป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว

                                      2.4.2 การจัดตั้งกองทุนระดับพื้นที่ โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เป็นเจ้าภาพหลัก

                                      2.4.3 เพิ่มบทบาทของกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นที่เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนการจัดการภัยพิบัติโดยประชุม
เพื่อเตรียมความพร้อม ป้องกัน และช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ

                             2.5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ เครือข่ายนักวิชาการด้านการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นำเครื่องมือการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพมาใช้ในการติดตามประเมินแผนการจัดการภัยพิบัติของชุมชนและท้องถิ่น โดยเน้นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชนและท้องถิ่น

                             2.6 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพกรมป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และเครือข่ายสถาบันการศึกษาในพื้นที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนข้อมูลชุดความรู้ นวัตกรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของบุคลากร อาสาสมัครในการจัดการภัยพิบัติ ภาคพลเมืองที่หลากหลาย เพื่อรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชนท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้ง การจัดการองค์ความรู้ ด้านภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ และมีการเผยแพร่องค์ความรู้ที่จำเป็นกับประชาชน

                             2.7 อว. โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่หรือหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยอื่นในสังกัด สนับสนุนทุนวิจัย ด้านการจัดการภัยพิบัติ ระดับพื้นที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ การทำงานวิจัยในชุมชน และถ่ายทอดความรู้ของการจัดการทุนวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์และการพัฒนาพื้นที่

                             2.8 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาชุดความรู้ หลักสูตรท้องถิ่นเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เช่น หลักสูตรการเตรียมความพร้อมการเผชิญภัย และการฟื้นฟูผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มโลกใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชน สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยให้บูรณาการเนื้อหาบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และหลักสูตรการศึกษาตามอัธยาศัย

                             2.9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เป็นเจ้าภาพหลัก โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลและบูรณาการรวบรวมข้อมูลไว้เพียงหน่วยงานเดียว และให้เป็นข้อมูลแบบเปิด (Open Access) ที่ให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ และให้มีการตั้งสำนักข่าวแห่งชาติ เพื่อบริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์

                             2.10 ดศ. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ดำเนินการพัฒนาระบบการบริหารแจ้งเตือนภัยพิบัติให้พร้อมใช้งานและแจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบทันเวลาและสถานการณ์

                             2.11 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มท. เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการฝึกซ้อมร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญให้กับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ

                             2.12 รัฐบาลมีการจัดตั้งกลไกการดำเนินงานระดับชาติ เพื่อประสานความร่วมมือทั้งระบบ เช่น ระบบฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร ระบบอาสาสมัครโดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายฯ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สช. เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเห็นชอบให้ข้อเสนอดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   3. ประโยชน์และผลกระทบ

                             (1) ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ เมื่อชุมชนสามารถจัดการภัยพิบัติได้ด้วยตนเอง รัฐบาลสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือลงได้ และการลงทุนในการสนับสนุนชุมชนให้มีความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

                             (2) เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติ โดยชุมชนมีความรู้และความเข้าใจในพื้นที่ของตนเองเป็นอย่างดี ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่จำเป็นในการจัดการ ภัยพิบัติได้เพิ่มขึ้น

                             (3) การลดความเสี่ยงและการสูญเสีย การที่ประชาชนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจ ในพื้นที่ของตนเอง ทำให้สามารถวางแผนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง ต่อการเกิดภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

 

20.  เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2567

                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

                   1. ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง (โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรฯ) และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง (โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ) ออกไปจากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ ออกไปจากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 31 ธันวาคม 2569 ตามความเห็นกระทรวงการคลัง (กค.)

                   2. ขยายเวลาการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมยางฯ) (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) เฉพาะการชำระคืนหนี้ของสถาบันเกษตรกรฯ ออกไปอีก 4 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ถึง 31 มีนาคม 2571 โดยไม่ให้มีการปล่อยกู้เพิ่มเติม รวมทั้งไม่ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการอีก

 

21. เรื่อง มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวม 21,750 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ เพื่อดำเนินมาตรการ ดังนี้

                   1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 10,500 ล้านบาทจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล
ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อย่างทันกาลด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ดังนั้น จึงเห็นควรให้ บสย. พิจารณางดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการที่นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการจ่าย ค่าประกันชดเชย ค่าจัดการค้ำประกัน และค่าดำเนินการค้ำประกัน ซึ่งจะเป็นการลดภาระทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถได้รับสินเชื่อได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรให้ บสย. ร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ในมิติต่าง ๆ จากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งอาจนำอารีย์สกอร์ (Ari Score) ที่ กค. กำลังพัฒนาอยู่เป็นเครื่องมือทางเลือกเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนา Credit Scoring Model และ Risk-based Pricing Model สำหรับผลิตภัณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ให้มีการประเมินความเสี่ยงของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้การกำหนดค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขการค้ำประกันมีความสอดคล้องกับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย และพัฒนาไปสู่การพิจารณาอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อเป็นรายลูกค้า (Individual Guarantee) ในอนาคตต่อไป พร้อมทั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (โครงการ PGS ระยะที่ 11) เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ 11 เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

                   2. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย (โครงการสินเชื่อพลิกฟื้น
ธุรกิจไทยฯ) ของธนาคารออมสิน รวมถึงอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 4,200 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการ และมอบหมายสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจที่เข้าข่าย Reinvent Thailand รวมถึงมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   3. โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) (โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ) และโครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโยของ ธ.ก.ส. รวมถึงอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน
7,050 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   4. การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME (โครงการสินเชื่อปลุก
พลังฯ) และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME (โครงการสินเชื่อ Beyondฯ) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ ในครั้งนี้ ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรวมเดิมที่รัฐบาลชดเชยตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 โดยไม่ส่งผลให้ยอดคงค้างตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) เพิ่มขึ้น               

                   5. โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อขยายตลาดส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เป็นโครงการ PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล

                   6. รับทราบ (1) มาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของ ธอท. และ ธอส. (2) มาตรการด้านภาษี และ (3) มาตรการอื่น ๆ และมอบหมายหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

                   เรื่องเดิม

                   1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 มิถุนายน 2567) เห็นชอบและอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการ PGS ระยะที่ 11 เพื่อเป็นการสนับสนุน ผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว รวมถึงเป็นการสนับสนุนศักยภาพด้านเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ตลอดจนการปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันกับสถานการณ์หรือวิกฤตที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งใน
ระยะสั้นและระยะยาว ตามที่ กค. เสนอ ทั้งนี้ สำหรับภาระงบประมาณของโครงการ PGS ระยะที่ 11 วงเงินรวม 7,125 ล้านบาทให้ กค. (บสย.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.)

                    2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (7 มกราคม 2568) ดังนี้

                             2.1 เห็นชอบให้ กค. ดำเนินโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ของ ธพว. โดยในปีที่ 1 -3 ให้ ธพว. คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่จากผู้ประกอบการ SME
ร้อยละ 3 ต่อปี สำหรับปีที่ 4 -10 ให้คิดอัตราดอกเบี้ย ตามที่ ธพว. กำหนด และรัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ในปีที่ 1 -3 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน
1,800 ล้านบาท และเมื่อใกล้ครบกำหนดระยะเวลา 3 ปีให้ กค. (ธพว.) ดำเนินการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการว่ายังคง มีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ ประการใด
เพื่อพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการขอรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยฯ ต่อไป ทั้งนี้ ให้ กค. (ธพว.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป รวมทั้งให้จัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPLs) ด้วย ตามความเห็นของ สงป.

                             2.2 ให้ กค. กำกับดูแล ธพว. ในการให้สินเชื่อของทั้ง 2 โครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจตามนโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” กค. จึงจัดทำมาตรการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) อย่างครอบคลุมและครบถ้วนในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win”  ภายใต้เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในด้าน 1) การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเกษตร และผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ผ่านมาตรการด้านการเงินโดยดำเนินโครงการสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ ต่อการดำเนินธุรกิจ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบการ SMEs โดย กค. ได้มีการดำเนินมาตรการด้านภาษีเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ รวมไปถึงการจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs พัฒนาทักษะทางดิจิทัลเพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่“เศรษฐกิจ ดิจิทัล” (Digital Economy) และ 3) การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านมาตรการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อื่น ๆ เช่น มาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องได้มากขึ้น โดยการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าภาครัฐ พร้อมสร้างแต้มต่อด้านราคาเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น กศ. จึงขอเสนอมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย โดยเรื่องนี้เข้าข่ายที่จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (9) เรื่องที่ขอทบทวนหรือยกเว้นการปฏิบัติตามมติของคณะรัฐมนตรี ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศตาม (6) และมาตรา 4 (11) เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

                    1. มาตรการด้านการเงิน

                      มาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ 1) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 2) ธนาคารออมสิน 3) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) 4) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) 5) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) 6) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และ 7) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อวงเงิน 217,000 ล้านบาท
และค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

                             1.1) บ.ส.ย.

                                  1) โครงการคำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” ของ บสย. วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ และช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยให้ความช่วยเหลือครอบคลุม ทั้งผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและภาคธุรกิจที่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล มีวงเงินโครงการรวม 50,000 ล้านบาท กรอบวงเงินงบประมาณชดเชย 10,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่ (1) โครงการค้ำประกันสำหรับผู้ประกอบการ SMES ทั่วไป ภายใต้โครงการ ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big (2) โครงการค้ำประกันสำหรับผู้ประกอบการ Micro SMEs ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win และ (3) โครงการค้ำประกันสำหรับผู้ประกอบการ รับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ ที่ต้องการสินเชื่อประเภทหนังสือค้ำประกันภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG ดังนี้

                                       (1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big

ประเด็น

รายละเอียด

1. กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินสินเชื่อสูงกว่า 1 ล้านบาท

2. วงเงินค้ำประกันโครงการ

35,000 ล้านบาท

3. วงเงินค้ำประกันต่อราย

ไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 200,000 บาท

4. อายุการค้ำประกัน

ไม่เกิน 7 ปี

5. ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน

ร้อยละ 1.5 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกัน โครงการ โดยรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน ผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 ปีแรก

6. การจ่ายค่าประกันชดเชย

บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณ สนับสนุนจากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกินร้อยละ 26

7. การขอรับการชดเชย

บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,000 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x ร้อยละ 20) ประกอบด้วย 1) ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่เกิน 1,575 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x ร้อยละ 1.5 x 3 ปี) 2) ชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยจำนวนไม่เกิน 5,425 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x ร้อยละ 15.50)

8. ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน

นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง

หมายเหตุ

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อนโยบายรัฐสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big ได้ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย (โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME (โครงการสินเชื่อ Beyondฯ) ของ ธพว. ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น

 

                                      (2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win         

ประเด็น

รายละเอียด

1. กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาท

2. วงเงินค้ำประกันโครงการ

10,000 ล้านบาท

3. วงเงินค้ำประกันต่อราย

ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท

4. อายุการค้ำประกัน

ไม่เกิน 7 ปี

5. ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน

ร้อยละ 1 หรือ 1.5 หรือ 2.5 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกันโครงการ โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อตามระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการ SMEs (Risk-based Pricing) โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อใน 3 ปีแรก และเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs ตั้งแต่
ปีที่ 4 เป็นต้นไป

6. การจ่ายค่าประกันชดเชย

บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณสนับสนุน จากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกินร้อยละ 38 ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการ SME

7. การขอรับการชดเชย

บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล สำหรับการจ่ายค่าประกันชดเชย รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,800 ล้านบาท (10,000 ล้านบาท x
ร้อยละ 28)

8. ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน

นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง

หมายเหตุ

โครงการสินเชื่อนโยบายรัฐสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win ได้ เช่น โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME (โครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ) ของ ธพว. โครงการสินเชื่อคู่ใจรายย่อยของธนาคารออมสิน ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น

 

                                      (3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG

ประเด็น

รายละเอียด

1. กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ ที่ต้องการสินเชื่อประเภทหนังสือค้ำประกัน

2. วงเงินค้ำประกันโครงการ

5,000 ล้านบาท

3. วงเงินค้ำประกันต่อราย

ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอ ค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 100,000 บาท

4. อายุการค้ำประกัน

ไม่เกิน 7 ปี

5. ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน

ร้อยละ 1 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกันโครงการ โดยรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 ปีแรก

6. การจ่ายค่าประกันชดเชย

บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการ
ค้ำประกัน สินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณสนับสนุน จากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกินร้อยละ 18

7. การขอรับการชดเชย

บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 700
ล้านบาท (5,000 ล้านบาท x ร้อยละ 14) ประกอบด้วย 1) ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่เกิน 150 ล้านบาท (5,000 ล้านบาท x ร้อยละ 1 x 3 ปี)  และ
2) ชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยจำนวนไม่เกิน 550 ล้านบาท
(5,000 ล้านบาท x ร้อยละ 11)

8. ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน

นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง

หมายเหตุ

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG ได้ เช่น สินเชื่อสำหรับคู่ค้าภาครัฐและรัฐวิสาหกิจของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น

 

                             2) ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (โครงการ PGS ระยะที่ 11) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ได้มีมติอนุมัติ ให้ บสย. ดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ 11 วงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อ วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ซึ่ง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 บสย. สามารถให้การค้ำประกัน สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนรวม 66,348 ราย วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 45,698 ล้านบาท เฉลี่ยต่อราย 0.69 ล้านบาท กระตุ้นให้เกิดสินเชื่อใหม่ในระบบ
1.22 เท่า โดยมีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ โครงการ PGS ระยะที่ 11 คงเหลือสำหรับรองรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 4,302 ล้านบาท สำหรับโครงการย่อยภายใต้โครงการ PGS
ระยะที่ 11 เช่น โครงการสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว โครงการสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้รถกระบะในการประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการรับเหมาในภูมิภาค เป็นต้น
โดยจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อ วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ซึ่ง กค. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ 11 เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อ โครงการ PGS ระยะที่ 11 ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 ทั้งนี้ สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการ PGS ระยะที่ 11 ยังคงเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567

                             1.2 ธนาคารออมสิน

                                 โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ ของธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยรวม 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าโลก ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดน ผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain ภายใต้โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) 2) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (Strategic Sector) ภายใต้โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) 3) โครงการสินเชื่อสำหรับธุรกิจที่มีแนวทางปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม ดิจิทัลเทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และ 4) โครงการสินเชื่อสำหรับธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายใต้โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism)

                             1) โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation)

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าโลก การแข่งขัน ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงภาคท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันถูกกระทบจากการชะลอตัว
ของจำนวนนักท่องเที่ยว ผ่านการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน การดำเนินงานโดยรวม และเสริมสภาพคล่องของธุรกิจ

2. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน ในประเทศไทย ตามนิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ต่อเศรษฐกิจไทย ยกเว้นบริษัท
ในหมวดธุรกิจการเงิน โดยเป็นผู้ประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
(1) ผู้ส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าที่อัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้น
(2) ผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกระทบจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ

(3) ผู้ประกอบธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว

(4) ผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน

(5) ผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบธุรกิจ ตามข้อ (1) – (4) ที่มีการประกอบธุรกิจหลักและมียอดขาย/รายได้ เกี่ยวข้อง กับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากกว่าร้อยละ 50 ของยอดขาย/รายได้รวมของตนเอง

3. วงเงินโครงการ

วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท)

4. อัตราดอกเบี้ย

ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงิน
ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs
ไม่เกินอัตราร้อยละ 3.5 ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 ปี ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่ แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่และสามารถโอนหนี้ (Refinance) ลูกค้าเดิม
ของสถาบันการเงินเดิมและโอนหนี้ (Refinance) ลูกค้าระหว่างสถาบันการเงินได้ โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ โดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

5. วงเงินสินเชื่อต่อราย

วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท

6. ระยะเวลาดำเนินงาน

ผู้ประกอบการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด

7. เงื่อนไขอื่น ๆ

ธนาคารออมสินขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล

 

                   2) โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand)

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่การเติบโตอย่างเข้มแข็ง ผ่านการยกระดับศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

2. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (Strategic Sector) ได้แก่ ธุรกิจเกษตรและเกษตรแปรรูป ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก
ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคต เศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) โดยให้ภาคเอกชน ประกอบด้วย สมาคม ธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจที่เข้าข่าย Reinvent Thailand เพิ่มเติม โดยคณะกรรมการดังกล่าวอย่างน้อยควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน (2) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนภาครัฐ (3) ธนาคารออมสิน ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินโครงการ

ทั้งนี้ อาจพิจารณาเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการได้ตามความเหมาะสม

3. วงเงินโครงการ

วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ หากมีวงเงินเหลือจากการดำเนินโครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินที่เหลือดังกล่าว ให้แก่โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand)
ได้ตามความเหมาะสม

4. อัตราดอกเบี้ย

ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตรา ไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปีใน 2 ปีแรก
และในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในปีที่ 3 - 5 โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อ แก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

5. ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด

6. กรอบวงเงินงบประมาณ

ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงิน ปีที่ 3 – 5 ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น ไม่เกิน 1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท x ฅ
ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)

 

                             3) โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation)

ประเด็น

รายละเอียด

1.วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับตัวและพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ของผู้ประกอบธุรกิจไทย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างเศรษฐกิจ ในภาพรวมประเทศ

2. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบการทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน
ในประเทศไทย ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ที่ไม่ใช่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน (เว้นแต่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ) และเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีแนวทางการปรับตัว (Transformation activities) เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจและพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต

3. วงเงินโครงการ

วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินระหว่างโครงการสินเชื่อ
กรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ได้ตามความเหมาะสม

4. อัตราดอกเบี้ย

ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงิน
ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตรา ไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปี ใน 2 ปีแรก และในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในปีที่ 3 – 5 ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ ไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Refinance) โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

5. วงเงินสินเชื่อต่อราย

วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ตามนิยาม สสว. และไม่เกิน 150 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่

6. ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด

7. กรอบวงเงินงบประมาณ

ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงิน ปีที่ 3 - 5 ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น
ไม่เกิน 1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท x ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)

 

                             4) โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism)

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุน ขยายกิจการ ปรับปรุงสถานประกอบการ ยกระดับมาตรฐานบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่นและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

2. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ

ผู้ประกอบการทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน
ในประเทศไทย ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า ร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ที่ไม่ใช่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (เว้นแต่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ) และเป็นผู้ประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (1) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจให้บริการที่พักอาศัย ธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น

(2) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบธุรกิจตามข้อ (1) ที่มีการประกอบธุรกิจหลักและมียอดขาย/รายได้ เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากกว่าร้อยละ 50 ของยอดขาย/รายได้รวม ของตนเอง

3. วงเงินโครงการ

วงเงิน 10,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินระหว่างโครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพ ธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ได้ตามความเหมาะสม

4. อัตราดอกเบี้ย

 

ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตราไม่เกินร้อยละ 3.5 ต่อปี ใน 2 ปีแรก และในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในปีที่ 3 -5 ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ ไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Refinance) โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

5 วงเงินสินเชื่อ

ต่อราย

 

วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับ ผู้ประกอบการ SMEs ตามนิยาม สสว. และไม่เกิน 150 ล้านบาท
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่

6. ระยะเวลายื่นขอ

สินเชื่อ

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้จนถึง วันที่ 31 มีนาคม 2570 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด

7. กรอบวงเงิน

งบประมาณ

ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงินปีที่ 3-5 ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 600 ล้านบาท

(วงเงิน 10,000 ล้านบาท x ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)

 

                   ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สามารถขอรับสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ ได้ โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารออมสินและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ

                             1.3 ธ.ก.ส.

                             โครงการสินเชื่อสำหรับเกษตรกรของ ธ.ก.ส. จำนวน 2 โครงการ วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท กรอบวงเงินงบประมาณชดเชย 7,050 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต สร้างแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม หรือพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำ ภายใต้โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) (โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ) และ 2) โครงการสินเชื่อสำหรับ ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการเกษตรภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

                                      1) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

 

เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำที่เหมาะสม สร้างรายได้ สร้างงาน
สร้างอาชีพ ยกระดับความเป็นอยู่และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน พัฒนาขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม แปรรูป ตลาดบริการ เพื่อโอกาสในการแข่งขันรวมทั้งเพื่อให้เกิดกิจกรรมรูปแบบการเชื่อมโยงธุรกิจตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตรและสร้างแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ดำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจ ชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model: BCG Model) ภายใต้หลักการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร

2. กลุ่มเป้าหมาย

 

เกษตรกร กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม
และผู้ประกอบการธุรกิจ เกษตร รวมถึงลูกค้า Smart Farmer ชุมชนที่อยู่ระหว่างกระบวนการพัฒนาของ ธ.ก.ส. และกลุ่มผู้ใช้น้ำที่พัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิตตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

3. วงเงินโครงการ

50,000 ล้านบาท

4. อัตราดอกเบี้ย

ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา  3 ปีแรกนับแต่วันกู้ สำหรับตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของ ธ.ก.ส.

5. วงเงินสินเชื่อต่อราย

วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท

6. ระยะเวลายื่น

ขอสินเชื่อ

เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2571

 

7. กรอบวงเงิน

งบประมาณ

รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี (ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2574) จำนวน 5,250 ล้านบาท

(วงเงิน 50,000 ล้านบาท X อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี X ระยะเวลา 3 ปี)

โดย ธ.ก.ส. จะทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นรายปี
ตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป

8. เงื่อนไขอื่น ๆ

 

(1) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ที่เกิดจากโครงการนี้

ขอไม่นำมาคำนวณเพื่อประเมินผลตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีโครงการ PSA

(2) การบวกกลับอัตราดอกเบี้ยที่ ธ.ก.ส. รับภาระเองเป็นรายได้ทางบัญชีสำหรับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิ ให้ ธ.ก.ส. หารือความจำเป็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   2) โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อรวม 30,000 ล้านบาท

ประเด็น

รายละเอียด

1. วัตถุประสงค์

 

(1) เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจให้เติบโต เข้มแข็ง มีศักยภาพในการแข่งขัน
และสามารถช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าเกษตรและวัตถุดิบระดับต้นน้ำ รวมทั้ง ผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ยั่งยืน

(2) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ย
ที่เหมาะสม ช่วยเสริมสภาพคล่อง สามารถขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโต
ของเศรษฐกิจ สร้างรายได้ตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร

(3) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้
ในการยกระดับความสามารถในการดำเนินธุรกิจ สามารถลดต้นทุนการผลิต
เพิ่มคุณภาพผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตตลอด ห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร

2. กลุ่มเป้าหมาย

ผู้ประกอบการ (บุคคล/นิติบุคคล)

3. วงเงินโครงการ

30,000 ล้านบาท

4. อัตราดอกเบี้ย

ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2.00 ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรกนับแต่วันกู้ สำหรับตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของ ธ.ก.ส.

5. วงเงินสินเชื่อต่อราย

เป็นไปตามศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้

6. ระยะเวลายื่น

ขอสินเชื่อ

เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2571

 

7. กรอบวงเงิน

งบประมาณ

รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 2.00 ต่อปี
เป็นระยะเวลา 3 ปี (ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2574) คิดเป็นเงิน จำนวน
1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท X อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี X ระยะเวลา 3 ปี) โดย ธ.ก.ส. จะทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป

8. เงื่อนไขอื่น ๆ

 

(1) NPL ที่เกิดจากโครงการนี้ขอไม่นำมาคำนวณเพื่อประเมินผลตามบันทึก ข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีโครงการเป็นบัญชี PSA

(2) การบวกกลับอัตราดอกเบี้ยที่ ธ.ก.ส. รับภาระเองเป็นรายได้ทางบัญชีสำหรับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิ ให้ ธ.ก.ส. หารือความจำเป็น กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

                             1.4 ธพว.

                             การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 เห็นชอบโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ ของ ธพว. ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจไทย ยังมีความไม่แน่นอนสูงและมีแนวโน้มขยายวงกว้าง รวมทั้งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้ผู้ประกอบการ SMES ในทุกประเภทธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการ Micro SMEs มีความเปราะบาง มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น จึงทำให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs เพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยวงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ จึงขอปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 1) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ Micro SMEs ภายใต้โครงการสินเชื่อปลุกพลังฯและ 2) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ภายใต้โครงการสินเชื่อ Beyondฯ ดังนี้

1) โครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ

ประเด็น

รายละเอียด

1. คุณสมบัติผู้กู้

 

ปรับปรุงโดยตัดหลักเกณฑ์การกำหนดรายได้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ จากเดิม ผู้ประกอบการ SMES ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่อยู่ในภาคการผลิต ภาคบริการ และค้าส่งค้าปลีก ที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท เป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่อยู่ในภาคการผลิต ภาคบริการ และค้าส่งค้าปลีก ทั้งนี้ ให้ ธพว. ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาการเกิด NPL ในอนาคต

2. วงเงินโครงการ

ปรับลด จากเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท

3. วงเงินสินเชื่อ

ปรับลดต่อราย จากเดิม ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท

4. ประเภทสินเชื่อต่อราย

ปรับปรุง จากเดิม เงินกู้ระยะยาว (Tem Loan) เป็น เงินกู้ระยะยาว (Tem Loan) และ/หรือเงินทุนหมุนเวียน (PN)

5. ระยะเวลารับคำขอสินเชื่อ

ขยายระยะเวลา จากเดิม นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่
30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน เป็น นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่
30 ธันวาคม 2569 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน

6. วงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาล

ปรับลด จากเดิม รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา
ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 900 ล้านบาท
(วงเงิน 10,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไปโดย ธพว. จะทำความตกลงกับ สงป.เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป เป็น รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น

ไม่เกิน 450 ล้านบาท (วงเงิน 5,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว.
จะทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป

2) โครงการสินเชื่อ Beyondฯ

ประเด็น

รายละเอียด

1. คุณสมบัติผู้กู้

 

ปรับปรุงโดยตัดหลักเกณฑ์การกำหนดรายได้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อ Beyondฯ จากเดิม ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกประเภทธุรกิจ ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท เป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกประเภทธุรกิจ ทั้งนี้ให้ ธพว. ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาการเกิด NPL ในอนาคต

2. วงเงินโครงการ

ปรับเพิ่ม จากเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 15,000 ล้านบาท

3. วงเงินสินเชื่อ

ปรับเพิ่มต่อราย จากเดิม ไม่เกิน 15 ล้านบาท เป็น ไม่เกิน 30 ล้านบาท

4. ระยะเวลารับคำขอสินเชื่อ

ขยายระยะเวลา จากเดิม นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่
30 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมดแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน เป็น นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบถึงวันที่
30 ธันวาคม 2569 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน

5. วงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาล

ปรับเพิ่ม จากเดิม รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา
ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 900 ล้านบาท (วงเงิน 10,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่าย สินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว. จะทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป เป็น รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,350 ล้านบาท (วงเงิน 15,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว. จะทำความตกลง กับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป

                  

ทั้งนี้ สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ รวมถึงกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้ง 2 โครงการ ยังคงเป็นไป ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568         

                             1.5 ธสน.

  • EXIM Expand Shield โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) โครงการประกันการส่งออก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการส่งออกในกรณีไม่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อในต่างประเทศ เพิ่มความมั่นใจให้กับ ผู้ประกอบการส่งออกในการขยายตลาดส่งออก และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบัน การเงินได้มากยิ่งขึ้น โดย ธสน. มีเป้าหมายให้ความคุ้มครองมูลค่าการส่งออกของไทยรวม 200,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ดังนี้

                             (1) โครงการ EXM for Export Expansion เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และสามารถเลือกสัดส่วนอัตราความคุ้มครองได้ตั้งแต่ร้อยละ 50 – 90 ของมูลค่าความเสียหาย

                             (2) โครงการ EXM Bank Shield เพื่อคุ้มครองการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของลูกค้าส่งออกให้กับสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าและเพิ่มความสามารถในการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยมีอัตราความคุ้มครองสูงสุดร้อยละ 90 ของมูลค่าความเสียหาย

                             (3) โครงการ EXM Expand Sure สำหรับผู้ประกอบการที่เริ่มต้นการส่งออกหรือเริ่มใช้บริการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองในกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศไม่ชำระเงิน ค่าสินค้า มีความคุ้มครองเบื้องต้น 300,000 บาท โดยผู้ประกอบการสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้วงเงินคุ้มครองสูงสุด ต่อรายไม่เกิน 30 ล้านบาท กรณีที่ใช้ร่วมกับโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield

2) โครงการสินเชื่อ EXM Expand Shield วงเงิน 12,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าปัจจุบันที่ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออก และเพื่อสนับสนุนเงินทุนพร้อมความคุ้มครองสำหรับลูกค้ารายใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.59 ทั้งนี้ สำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ 5 กลุ่ม ภายใต้ความร่วมมือของ กค. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ธสน. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.125

สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการให้เป็นไปตามที่ ธสน. กำหนด ทั้งนี้ ธสน. ขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชี PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล โดยในส่วนของการขอนำผลขาดทุนจากการดำเนินงานโครงการนี้มาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึก ข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ให้ ธสน. หารือความจำเป็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

                             1.6 ธอท.

โครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิมของ ธอท. วงเงินรวม
3,000 ล้านบาท จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการ สินเชื่อ SMEs Green Earth 2) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาล ส่งออก ภายใต้โครงการสินเชื่อ Easy Halal Exporter และ 3) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการมุสลิมและผู้ประกอบการทั่วไปที่อยู่ระหว่างการขอเครื่องหมายรับรองฮาลาลภายใต้โครงการสินเชื่อ Easy Halal Biz โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) โครงการสินเชื่อ SMEs Green Earth เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการดำเนินงานทางธุรกิจด้านพลังงาน วงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อ ต่อรายไม่เกิน 50 ล้านบาท สำหรับลูกค้ารายเดิมอัตรากำไรร้อยละ 0 ระยะเวลา 3 เดือนและลูกค้ารายใหม่อัตรากำไรร้อยละ 5.00 ระยะเวลา 3 เดือน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี

2) โครงการสินเชื่อ Easy Halal Exporter เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออก หรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล หรือผู้ผลิตที่ยังอยู่ระหว่างการขอเครื่องหมายรับรองฮาลาล วงเงิน 1,500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตรากำไรเริ่มต้นร้อยละ 5.80 ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี

3) โครงการสินเชื่อ Easy Halal Biz เพื่อสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องธุรกิจให้กับผู้ประกอบการมุสลิม และผู้ประกอบการทั่วไปที่อยู่ระหว่างการขอเครื่องหมายรับรองฮาลาลวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 200 ล้านบาท อัตรากำไรเริ่มต้นร้อยละ 6.30 ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี

1.7 ธอส.

โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของ ธอส. วงเงินรวม
2,000 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก และไถ่ถอน ภายใต้โครงการสินเชื่อแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า และ 2) โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภคในโครงการภายใต้โครงการสินเชื่อพัฒนาโครงการ Pre Finance โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) โครงการสินเชื่อแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า สำหรับการปลูกสร้างซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก และไถ่ถอน วงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 4.50 ต่อปี รับคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569

                             2) โครงการสินเชื่อพัฒนาโครงการ Pre Finance เพื่อสนับสนุน สินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภคในโครงการวงเงิน 1,000 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 4.75 ต่อปี รับคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569สำหรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย จากการดำเนินมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง ตามข้อ 1. คาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบจำนวนกว่า 270,000 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้จำนวนกว่า 107,000 ราย และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในปี 2569 ที่ร้อยละ 0.36

2 มาตรการด้านภาษี

2.1 กรมสรรพากร จำนวน 2 โครงการ

1) โครงการพี่ช่วยน้อง โดยการเสริมสร้างระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์เชิงรุก
(
e-Tax Invoice & e-Withholding Tax) ตามนโยบายของ กค. ที่มุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs โดยใช้กลไก “พี่ช่วยน้อง” ที่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) (“พี่”) ซึ่งมีความพร้อมด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีเป็นแกนนำในการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (“น้อง”) ให้สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยกรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานภาครัฐ จะทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ สู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) โดยพี่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากรายจ่ายที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มเร็วขึ้น และสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ปฏิบัติครบตามเงื่อนไข ที่กรมสรรพากรกำหนดจะได้รับการรับรองสถานะผู้ประกอบการคุณภาพด้านการปฏิบัติภาษีอิเล็กทรอนิกส์

2) โครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track กรมสรรพากรได้ปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเวลาการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติ โดยมีโครงการ คืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ติดเกณฑ์ความเสี่ยงของกรมสรรพากรผ่านระบบการโอนเงินแบบพร้อมเพย์ (PromptPay) เพื่อเป็นโครงการนำร่อง (Sandbox) ในการพัฒนาระบบคืนภาษีที่ทันสมัย โปร่งใส และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านดิจิทัล ซึ่งการคืนภาษีที่รวดเร็วขึ้นจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนำเงินไปใช้เป็น ทุนหมุนเวียนในกิจการ การชำระหนี้ หรือการลงทุนขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการนำระบบ PromptBiz มาเป็นหนึ่งในปัจจัยเพื่อใช้ในการพิจารณาคืนภาษีให้มีความรวดเร็วขึ้นในอนาคต

  1.                   

  2. De Minimis Value : DMV) โดยกรมศุลกากรมีมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value: DMV) โดยก่อนหน้านี้กรมศุลกากรกำหนด DMV ที่ผู้ซื้อสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท จะได้รับการยกเว้นทั้งอากรศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต และต่อมาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 กรมศุลกากรได้ปรับเกณฑ์ DMV โดยได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าที่มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กรมศุลกากรมีแนวทางเพิ่มเติมในการเรียกเก็บอากรขาเข้าสำหรับ สินค้านำเข้าที่มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้องให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้

                   3 มาตรการอื่น ๆ

3.1 กรมบัญชีกลาง จำนวน 2 โครงการ

1) มาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐ โดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบัน กค. ทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบ จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai กับการให้บริการสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา โดยธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคาร Sponsor Bank สามารถนำข้อมูลดังกล่าวประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการแล้ว และปัจจุบันสมาคมธนาคารไทย ร่วมกับบริษัท เนชันแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อขยายการเชื่อมโยงผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งเป็นระบบกลางในการเชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ให้ทุกธนาคารสามารถเชื่อมโยง ข้อมูลได้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้คู่สัญญา กับภาครัฐที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 73,500 ราย ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกรวดเร็วทันต่อความต้องการการใช้เงินทุน ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 เนื่องจากพบว่าการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ธนาคารผู้ให้สินเชื่อยังไม่มีความมั่นใจว่าจะได้รับเงินคืนตามสัญญา ดังนั้น กรมบัญชีกลาง ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคาร Sponsor Bank สมาคมธนาคารไทย และ NITMX ในฐานะผู้พัฒนาระบบ PromptBiz ได้มีการประชุมเพื่อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการโอนสิทธิการรับเงินของคู่ค้าภาครัฐให้กับธนาคารผู้ให้สินเชื่อ โดยจะมีการจัดทำสัญญา “โอนสิทธิรับเงิน” และส่งข้อมูลผ่านระบบ PromptBiz มายังระบบ
New GFMIS Thai เพื่อตรวจสอบ ยืนยันเลขที่โครงการ เลขคุมสัญญา และระบุบัญชีธนาคารของผู้รับโอนสิทธิ ทั้งนี้ เมื่อหน่วยงานของรัฐขอเบิกเงินผ่านระบบ New GFMIS Thai จึงมั่นใจได้ว่าเงินจะเข้าบัญชีของธนาคารผู้ให้สินเชื่อเท่านั้น

                             2) แนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลางมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับ ผู้ประกอบการ SMES ที่ได้รับการรับรองจาก สสว. อีกร้อยละ 5 สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร สำหรับ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2569 - 30 กันยายน2570 ทั้งนี้ ให้ สสว. ทบทวน หลักเกณฑ์การพิจารณาการรับรองความเป็นผู้ประกอบการ SMEs ให้เหมาะสมโดยให้พิจารณาถึงความเชื่อมโยงของกลุ่มบริษัททั้งในมิติของการควบคุมและการถือหุ้น แทนการพิจารณาเป็นรายบริษัทและให้กรมบัญชีกลางพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์ให้เหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้อย่างเป็นธรรมและยังช่วยยกระดับความสมัครใจในการเสียภาษี (Tax Compliance) อีกทางหนึ่ง

3.3.2 การจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย ปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรายได้ของผู้ประกอบการไทยตั้งแต่ผู้ประกอบการ SMEs จนถึงเกษตรกร ทั้งนี้ E-commerce Platform ที่ผู้ประกอบการไทยใช้เป็นหลักในปัจจุบันเป็นของ ต่างชาติ ซึ่งกำหนดค่าบริการในอัตราที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงในส่วนนี้ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณากำหนดแนวทางเพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platfor เป็นของคนไทยเองเพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ตามข้อ 3 เข้าข่ายลักษณะ
ของกิจกรรม มาตรการหรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง
ของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณ หรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 โดย บสย. ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธพว. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติใน มาตรา 27 มาด้วยแล้ว นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ในส่วนของ 1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win”  ของ บสย. ตามข้อ 1.1) โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ ของธนาคารออมสิน ตามข้อ 1.23) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ และโครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย ของ ธ.ก.ส. ตามข้อ 1.3 และ 4) โครงการสินเชื่อ Beyondฯ ของ ธพว. ตามข้อ 1.4 ยังเข้าข่ายตามบทบัญญัติในมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงิน การคลังฯ ที่กำหนดให้การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาล รับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้จากการดำเนินการนั้น ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น ซึ่ง บสย. ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธพว. ในฐานะผู้เสนอโครงการดังกล่าวได้พิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กล่าวข้างต้น และได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่ต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติใน มาตรา 28 มาด้วยแล้ว

สำหรับภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 จำนวน 1,080,123 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ซึ่งต้องใช้วงเงินตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ รวมจำนวน 21,750 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win”ของ บสย. จำนวน 10,500 ล้านบาท 2) โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยๆ ของธนาคารออมสินจำนวน 4,200 ล้านบาท 3) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ และโครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโยของ ธ.ก.ส.จำนวน 7,050 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับโครงการอื่นที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว ทำให้ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,112,679 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 29.43 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนด อัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ สำหรับการปรับปรุงวงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลของโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ ตามที่กล่าวในข้อ 1.4 เป็นการปรับปรุงวงเงินภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรวมเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 โดยไม่ส่งผลให้ยอดคงค้างตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บสย. ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธพว. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ จะต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนิน กิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสี่ออิเล็กทรอนิกส์ตามนัยบทบัญญัติมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ต่อไป

                   ประโยชน์และผลกระทบ

มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย จะเป็นการช่วย 1) การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการ Micro SME ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเกษตร และผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศผ่านมาตรการด้านการเงินโดยดำเนินโครงการสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ
2) การเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบการ SMEs โดย กค. ได้มีการดำเนินมาตรการด้านภาษี
เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้รวมไปถึงการจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs พัฒนาทักษะทางดิจิทัลเพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) และ 3) การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านมาตรการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อื่น ๆ เช่น มาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องได้มากขึ้น โดยการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าภาครัฐพร้อมสร้างแต้มต่อด้านราคาเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นการลงทุน รวมถึงการเป็นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สมดุลและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยการดำเนินมาตรการด้านการเงินผ่านโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อนั้น กค. คาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบจำนวนกว่า 270,000 ล้านบาท สามารถ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้จำนวนกว่า 107,000 ราย และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในปี 2569 ที่ร้อยละ 0.36

 

 

ต่างประเทศ

22. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลาว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือทางการเมือง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกัวเตมาลา (กัวเตมาลา) ว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือทางการเมือง (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ประเทศไทยกับกัวเตมาลาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างกันเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2500 ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือทวิภาคีระดับสูงระหว่างกันเป็นครั้งคราว ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กัวเตมาลาได้เยือนประเทศไทยเพื่อเปิดสถานเอกอัครราชทูตกัวเตมาลา ประจำประเทศไทย สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ประเทศไทยกับรัฐกัวเตมาลาให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันในการเลือกตั้ง ตำแหน่งต่าง ๆ ในเวทีระหว่างประเทศอยู่เสมอ ๆ ในด้านความร่วมมือทางวิชาการ ประเทศไทยให้ทุนฝึกอบรมระยะสั้นประจำปีผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคีโดยเฉพาะในกรอบเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกและลาตินอเมริกาและองค์กรรัฐอเมริกันให้แก่กัวเตมาลา ปัจจุบันกัวเตมาลามีความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกพืชทดแทนยาเสพติดจากประเทศไทย

                   2. ฝ่ายกัวเตมาลาได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือทางการเมือง (Political Consultations) ระหว่าง กต. กับกระทรวงการต่างประเทศกัวเตมาลาเพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการหารือ
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกันและได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ฝ่ายไทยพิจารณา
ซึ่งต่อมาทั้ง 2 ฝ่าย ได้เจรจาร่างบันทึกความเข้าใจฯ จนได้ข้อสรุป และในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัวเตมาลามีกำหนดเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 จึงมีความประสงค์จะใช้โอกาสนี้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว

                   3. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือระหว่าง กต. กับกระทรวงการต่างประเทศกัวเตมาลา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
ของทั้ง 2 ฝ่าย เช่น การเมือง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กงสุล และวิชาการ โดยจะมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 5 ปี และจะขยายระยะเวลาออกไปโดยอัตโนมัติครั้งละ 5 ปี ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบในหลักการ รวมทั้ง กต. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นสอดคล้องกันว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มิได้มีถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิด    ผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

23. เรื่อง การต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 และวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเรื่อง การต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 และวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568  ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24กันยายน 2567 และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ได้แก่

                             1.1 ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...

                             1.2 ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่...

                   2. เห็นชอบการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ได้แก่

                             2.1 ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .....

                             2.2 ร่างประกาศกระทรวงแรงงานเรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่...

                   3. ให้ รง. โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง

                   สาระสำคัญของร่างประกาศ

                    รง. เสนอว่า 

                    1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนามอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นกรณีพิเศษและทำงานได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 มีจำนวนทั้งหมด 1,000,293 คน ได้แก่ สัญชาติกัมพูชา 103,522 คน เมียนมา 861,851 คน ลาว 28,112 คน และเวียดนาม 6,808 คน (ข้อมูลณ วันที่ 25 กันยายน 2568) ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ได้กำหนดให้คนต่างด้าวที่ได้
รับอนุญาตทำงานแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
ไปดำเนินการลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว และประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 และจะได้รับอนุญาต
ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569  ทั้งนี้ หากไม่ดำเนินการภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษจะสิ้นสุดลง

                   2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 2 สัญชาติ คือ ลาวและเวียดนามอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งกลุ่มแรงงาน ต่างด้าวดังกล่าวที่ใบอนุญาตการทำงานจะสิ้นอายุในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569 มีจำนวนทั้งหมด 4,070 คน ได้แก่ สัญชาติลาว 3,965 คน และเวียดนาม 105 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 กันยายน 2568)

                   3. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเป็นการสนับสนุนนายจ้างและผู้ประกอบการให้สามารถผลิตสินค้าและบริการได้อย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของประเทศ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการผ่อนผันให้คนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไปได้อย่างถูกกฎหมาย  ทั้งนี้ ในส่วนของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจำเป็นต้องชะลอการดำเนินการไว้ก่อน  เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย กัมพูชา กลับมามีความอ่อนไหวอีกครั้ง โดยมีแนวทางการดำเนิน

 

(1) การต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567

กลุ่มเป้าหมาย

ㆍ คนต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาต

ทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 (ตัดคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาออก)                   ซึ่งประกอบด้วย

1. กลุ่มที่ได้รับการตรวจลงตราและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569

2. กลุ่มคนต่างด้าวที่ไม่สามารถจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางได้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ทำให้ไม่สามารถตรวจลงตราได้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ส่งผลให้สิทธิในการอยู่ในราชอาณาจักรจะสิ้นสุดลงหลังจากวันที่ 31 มกราคม 2569

ขั้นตอนการดำเนินการ

ㆍ ผ่อนผันให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

และมีสิทธิทำงานได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข

ดังต่อไปนี้

1. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานผ่านระบบ

อิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด ก่อนเอกสารหรือหลักฐานการอนุญาตทำงานสิ้นอายุ  พร้อมเอกสารและหลักฐาน เช่น สำเนาหนังสือรับรองบริษัท เอกสารหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน หรือเอกสารหลักฐานการทำประกันสุขภาพกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  หรือประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยและชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน จำนวน 1,000 บาท (ค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอ 100 บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน 900 บาท)

2. ให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน

และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ยกเว้นกรณีทำงานกับนายจ้างในกิจการซึ่งไม่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม จะต้องทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย

3. ให้นายทะเบียนตรวจสอบคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งเอกสารและหลักฐาน เมื่อเห็นว่าถูกต้องและครบถ้วน ให้นายทะเบียนพิจารณาอนุญาตทำงาน

4. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง เพื่อขอตรวจลงตราต่อไป รวมถึงการจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้แก่

คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานและผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าว

 

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ㆍรง. ได้เสนอร่างประกาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ

ㆍสธ. และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ดำเนินการตรวจสุขภาพ และประกันสุขภาพให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย

ㆍสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจลงตรา

ㆍให้กรมการปกครอง และ กทม. ดำเนินการตามกฎหมายปกติ สำหรับการจัดทำ

หรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย

(2) การต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

กลุ่มเป้าหมาย

ㆍคนต่างด้าว 2 สัญชาติ คือ ลาวและเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569

 

ขั้นตอนการดำเนินการ

ㆍผ่อนผันให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

และมีสิทธิทำงานได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2570 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข

ดังต่อไปนี้

1. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานผ่านระบบ

อิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด ก่อนเอกสารหรือหลักฐานการอนุญาตหรือใบอนุญาตทำงานสิ้นอายุ พร้อมเอกสารและหลักฐาน เช่น สำเนาหนังสือรับรองบริษัท เอกสารหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน หรือเอกสารหลักฐานการทำประกันสุขภาพกับ สธ. หรือประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย และชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน จำนวน 1,000 บาท (ค่าธรรมเนียมค่ายื่นคำขอ 100 บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน                      900 บาท)

2. ให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน

และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ยกเว้นกรณีทำงานกับนายจ้างในกิจการซึ่งไม่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม จะต้องทำประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพของแรงงาน            ต่างด้าว หรือทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย

3. ให้นายทะเบียนตรวจสอบคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งเอกสาร

และหลักฐาน เมื่อเห็นว่าถูกต้องและครบถ้วน ให้นายทะเบียนพิจารณาอนุญาตทำงาน

4. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง เพื่อขอตรวจลงตราต่อไป รวมถึงการจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยให้แก่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานและผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าว

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ㆍรง. ได้เสนอร่างประกาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ

ㆍสธ. และสำนักการแพทย์ กทม. ดำเนินการตรวจสุขภาพ และประกันสุขภาพ

ให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย

ㆍตร. โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจลงตรา

ㆍให้กรมการปกครอง และ กทม. ดำเนินการตามกฎหมายปกติ สำหรับการจัดทำ

หรือปรับปรุงทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย

                   4. ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกับเรื่องดังกล่าวแล้ว

 

แต่งตั้ง

24.  เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้งนางสาวรุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการสูง) สำนักวิจัยและพัฒนาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านวิจัยและประเมินผลการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่  31 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้ง นายมานะศิริพิทยาวัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

26. เรื่อง การบรรจุบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญงานสูง เข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอบรรจุนางปารีณา ศรีวนิชย์ ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญงานสูงเข้ารับราชการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านวิจัยและพัฒนาวิชาการพระพุทธศาสนา (นักวิชาการศาสนาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในตำแหน่งที่ว่าง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ   ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งเดิมได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่น และเกษียณอายุราชการในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 20 ตำแหน่ง ดังนี้

                   1. ให้นายพชรเสฏฐ์ บุญศิริสาริศา ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น)  จังหวัดอุตรดิตถ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง)                              สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. ให้นางสาวสุพัตรา คล้ายทิม ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดกำแพงเพชร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง)                          สำนักงานปลัดกระทรวง

                   3. ให้นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดราชบุรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาญจนบุรี

                   4. ให้นายสุวรรธณ์ เข็มธนเพ็ชร ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น)  จังหวัดกาฬสินธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์

                   5. ให้นางสาวฉัตรประอร นิยม ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดฉะเชิงเทรา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดฉะเชิงเทรา

                   6. ให้นายภูมิวัชร์ อุดมทรัพย์ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น)  จังหวัดนครนายก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชัยนาท

                   7. ให้นายบุญช่วย หอมยามเย็น ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดตาก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนราธิวาส

                   8. ให้นายสุรพล เจริญภูมิ ตำแหน่งรองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดบึงกาฬ

                   9. นางสาวอรอาภา โล่ห์วีระ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดพะเยา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพะเยา

                   10. ให้นายสุจินต์ วาจากิจ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดพัทลุง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพัทลุง

                   11. ให้นายชุมพิชญ์ เดชะรัฐ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดนครสวรรค์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดมหาสารคาม

                   12. ให้นายก้องสกุล จันทราช ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น)  จังหวัดยะลา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดยะลา

                   13. ให้นายราชัน มีน้อย ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดระนอง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดระนอง

                   14. ให้นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดเชียงใหม่ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลพบุรี

                   15. ให้นายปิยพงศ์ ชูวงศ์ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดลำพูน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดลำพูน

                   16. ให้นายคณิต คงช่วย ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสตูล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสตูล

                   17. ให้นายอำนาจ เจริญศรี ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสมุทรสาคร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสมุทรสาคร

                   18. ให้นายวราดิศร อ่อนนุช ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสิงห์บุรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสิงห์บุรี

                   19. ให้นายจำเริญ แหวนเพ็ชร ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น)  จังหวัดสุรินทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดสุรินทร์

                   20. ให้นายเสนีย์ ส้มเขียวหวาน ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดอำนาจเจริญ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ

          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                   1. นายโกมล พรมเพ็ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน

                   2. นางธารินี แสงสว่าง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทร่วง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง  (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ชารัมย์) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ เปลื้องทุกข์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยปลัดกระทรวง
(ตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง(ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

31. . เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2

                   คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ต่อไปอีก 1 ปี เป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2569 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2570

 


ที่มา : https://www.thaigov.go.th/th/news/103116